ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีข่าวเล็กๆ เป็นเหตุฆ่ากันตายในพื้นที่ ซึ่งเหตุรุนแรงในดินแดนแห่งนี้เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกวัน
แต่เหตุการณ์นี้ได้บานปลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงชาวมุสลิม ส่วนคนที่ยิงเป็นทหารยศสิบเอก ซึ่งล่าสุดกองทัพออกมาแถลงว่า ทหารรายนี้เคยถูกสอบวินัยร้ายแรงเรื่องยาเสพติด และอยู่ระหว่างหนีราชการ
เหตุการณ์สลดนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 1 ธ.ค.64 ตำรวจ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนจ่อยิง น.ส.นูรีดา ยาโก๊ะ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129/1 บ้านหัวคลอง หมู่ 6 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ กระสุนเจาะเข้าบริเวณหน้าผาก 1 นัด เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดในพื้นที่บ้านหัวคลอง ซึ่งเป็นบ้านของผู้ตาย
เหตุเกิดช่วงกลางๆ วันแสกๆ ประมาณ 10 โมงเช้า ตำรวจจึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ และทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ คือ ส.อ.สหชาติ หอแป้น อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นทหารในสังกัดกองพันที่ 3 กองร้อยทหารราบที่ 151 หรือ ร.151 พัน 3 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หรือ “ค่ายปิเหล็ง” (ค่ายนี้เคยถูกปล้นปืน 413 กระบอกเมื่อปี 2547)
ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.ตากใบ จับกุมตัว ส.อ.สหชาติ เอาไว้ได้ และเจ้าตัวก็ให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง โดยใช้ปืนพกสั้น ยี่ห้อ ซิก ซาวเออร์ เป็นปืนมีทะเบียนถูกต้อง เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมซองบรรจุกระสุน 2 ซอง กระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 13 นัด และเข็มขัดทางยุทธวิธี พร้อมซองพกปืน จำนวน 1 เส้น
@@ ชาวบ้านผวา ลือมีขู่ฆ่าอีก 13 คน
เรื่องไม่ได้จบแค่จับกุมตัวคนร้ายได้ เพราะผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวอยู่แล้วในพื้นที่ชายแดนใต้ ทำให้มีญาติมิตร และประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวหญิงผู้ตายจำนวนมาก โดยสามีและลูกๆ 4 คน มีอาการโศกเศร้าอย่างหนัก
ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุเข้ามาวนเวียนในพื้นที่ 3-4 วันแล้ว ชายคนนี้เป็นทหาร รู้จักคนในพื้นที่เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าเข้ามาติดต่อธุระเรื่องอะไร
วันที่ก่อเหตุ ส.อ.สหชาติ สวมเสื้อสีแดง สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินทับ ได้เรียกผู้ตายไปคุยเพื่อขอเงินใช้ เพราะไม่มีเงินติดตัว จากนั้นเดินถามหาคนชื่อยะห์จากผู้ตาย ในระหว่างที่ผู้ตายกำลังหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรถาม จังหวะนั้น ส.อ.สหชาติ ได้ใช้อาวุธปืนจ่อยิงบริเวณหน้าผาก 1 นัด ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
หลังก่อเหตุชาวบ้านจึงได้ช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมระบุรูปพรรณคนร้าย และเลขทะเบียนรถ จนกระทั่งตำรวจสามารถสกัดจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ
ญาติรายหนึ่งของผู้ตาย กล่าวว่า คนร้ายแต่งกายชุดคล้ายทหาร ถืออาวุธปืนเดินเข้ามาข่มขู่ชาวบ้านในพื้นที่ ก่อนเกิดเหตุได้เข้ามาข่มขู่ชาวบ้านในร้านขายของชำ บริเวณสนามกีฬาเทศบาลตากใบ ก่อนจะเดินออกจากร้านแล้วไปก่อเหตุยิงผู้ตายจนเสียชีวิต จากนั้นก่อนหลบหนี คนร้ายยังได้ทิ้งใบปลิวข่มขู่ด้วยว่า ยังเหลืออีก 13 รายที่ต้องการเก็บทิ้ง ทำให้ทุกคนกลัวมาก ชาวบ้านในพื้นที่ ต่างหวาดผวา กลัวว่าจะเป็นเรื่องตามฆ่ากันอีกหลังจากนี้
@@ เจ้าหน้าที่แจงแค่กระดาษจดโน้ต ไม่ใช่ใบปลิว
อย่างไรก็ดี ประเด็นเกี่ยวกับการทิ้งใบปลิวนี้ ได้รับคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ว่า น่าจะเป็นข่าวลือในหมู่ชาวบ้านเท่านั้น เพราะกระดาษที่ชาวบ้านระบุว่าเป็นใบปลิวนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าเป็นแค่เศษกระดาษจดข้อความบางอย่าง คล้ายๆ "ช็อตโน้ต" เป็นข้อความเกี่ยวกับการเบิกปืน และจำนวนคนที่หนีฝึก 13 คน กระดาษที่พบก็เป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนฉีกมา ไม่ได้ทำในลักษณะใบปลิว
@@ ทัพ 4 แจงโดนสอบวินัย หนีราชการ
เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นทหาร และชาวบ้านก็หวาดกลัวพฤติกรรม จึงร้อนถึง พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 4 ต้องออกมาชี้แจง
พล.ต.ปราโมทย์ บอกว่า กำลังพลที่ก่อเหตุ คือ ส.อ.สหชาติ เป็นผู้ปฏิบัติงานในที่ตั้งปกติ ไม่ได้บรรจุราชการสนาม
จากการตรวจสอบพบว่า ส.อ.สหชาติ อยู่ระหว่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง เนื่องจากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยก่อนหน้านี้เคยกระทําความผิดในลักษณะเดียวกันและถูกลงทัณฑ์ทางวินัยมาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนนโยบายและระเบียบของกองทัพบก ดื้อดึง ขัดขืน และไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตน อยู่ระหว่างดําเนินการขออนุมัติลงทัณฑ์ทางวินัยและเสนอปลดออกจากราชการ โดยในระหว่างกระบวนการ ส.อ.สหชาติ ได้ขาดหนีราชการออกไปจากหน่วย ไม่สามารถติดต่อได้
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ได้รับแจ้งจากตำรวจ สภ.ตากใบ ว่า ส.อ.สหชาติ ได้ก่อเหตุยิง น.ส.นูรีดา ยาโก๊ะ เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถจับกุมตัวได้ พร้อมอาวุธปืนของกลางที่ใช้ก่อเหตุ โดยคุมตัวได้บริเวณด่านตรวจหน้าไปรษณีย์ตากใบ
หลังทราบเหตุ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยต้นสังกัดสั่งพักราชการเรียบร้อยแล้ว ส่วนด้านคดีจะให้เจ้าหน้าที่ตํารวจดําเนินการตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย โดยกองทัพยืนยันจะไม่ปกป้องกําลังพลที่กระทําผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด
สำหรับมูลเหตุจูงใจในการสังหารผู้ตาย ไม่มีคำแถลงจากโฆษกกองทัพภาคที่ 4 แต่ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลจากในพื้นที่ ได้รับคำยืนยันว่า น่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด ไม่ใช่เรื่องชู้สาว โดยผู้ก่อเหตุอาจต้องการติดต่อใครคนหนึ่ง และไปสอบถามจากผู้ตาย แต่ได้คำตอบช้า ทำให้ไม่พอใจ และลงมือก่อเหตุ ซึ่งอาจเป็นผลจากยาเสพติด