กลายเป็น “ยิ่งกว่ามหากาพย์” ไปแล้ว สำหรับหมายจับ “เสี่ยโจ้” ที่ตำรวจระบุว่าเป็น “เจ้าพ่อค้าน้ำมันเถื่อนระดับประเทศ”
เพราะไม่ใช่แค่กระบวนการสอบสวนหาคนผิดชั้นต้นจะสรุปส่ง ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการไม่ทันวันที่ 15 พ.ย.64 ตามที่มีคำสั่งให้รายงานกลับมาภายใน 3 วันเท่านั้น แต่ล่าสุดผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังบอกกับทีมข่าวว่า จริงๆ ตรวจสอบเรื่องนี้เสร็จแล้ว ไม่พบว่ามีใครผิด ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนถูกต้องทุกประการ
@@ ย้อนไทม์ไลน์ “หมายจับอลวน”
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเคสสะเทือนกระบวนการยุติธรรม “ทีมข่าวอิศรา” เรียงไทม์ไลน์ให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้
คืนวันที่ 4 พ.ย. ตำรวจสอบสวนกลางจับกุม “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ได้ที่ร้านอาหารริมทาง ย่านห้วยขวาง โดยเป็นการจับตามหมายจับ “คดีฟอกเงินจากการค้าน้ำมันเถื่อน”
วันที่ 5 พ.ย. ตำรวจสอบสวนกลางเปิดแถลงข่าวใหญ่ ขึ้นภาพ backdrop เป็นหน้า “เสี่ยโจ้” คาดตา แล้วเขียนคำว่า “เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน”
วันที่ 6 พ.ย. ตำรวจนำตัว “เสี่ยโจ้” ส่งอัยการจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีฟอกเงิน ปรากฏว่าอัยการแจ้งว่า “สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว” ไม่มีอำนาจควบคุมตัว จึงต้องปล่อย “เสี่ยโจ้” เป็นอิสระ
วันเดียวกัน ตำรวจชี้แจงว่า ตอนที่จับ “เสี่ยโจ้” มีหมายจับในสารบบเพียงหมายเดียว คือหมายจับคดีฟอกเงิน (ทั้งๆ ที่ “เสี่ยโจ้” มีสิบกว่าคดี) และไม่พบหมายจับในคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุก “เสี่ยโจ้” เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน ฐานใช้ดวงตราประทับไม้ปลอมในการเคลื่อนย้ายไม้ (“เสี่ยโจ้” ทำธุรกิจค้าไม้ด้วย)
ตำรวจอ้างว่าตรวจสอบก่อนหน้าการจับกุมแล้วพบว่าไม่มีหมายจับ จึงพยายามสอบถามทางศาลจังหวัดปัตตานี แต่ศาลตอบอย่างไม่เป็นทางการว่าหาสำเนาหมายจับไม่เจอ
วันที่ 8 พ.ย. ตำรวจบอกว่า ทางศาลจังหวัดปัตตานีเพิ่งส่งสำเนาหมายจับให้ แต่ไม่ทันแล้ว “เสี่ยโจ้” หนีไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. (วันที่ได้รับการปล่อยตัว)
วันที่ 11 พ.ย. สำนักงานศาลยุติธรรมออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ศาลจังหวัดปัตตานีได้พิพากษาจำคุก “เสี่ยโจ้” ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.2557 แต่ “เสี่ยโจ้” หลบหนี จึงออกหมายจับและส่งหมายจับให้ตำรวจในวันนั้นเลย / ต่อมาวันที่ 26 พ.ค.2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ทำให้คดีถึงที่สุด ศาลก็ส่งหมายจับให้ตำรวจอีกหมายหนึ่งในวันเดียวกัน
เมื่อเรื่องทำท่าจะย้อนกลับมาทิ่มตำรวจแบบนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จึงมีคำสั่งวิทยุตำรวจด่วนที่สุด สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) สอบสวนเรื่องนี้ และให้รายงานกลับมาใน 3 วัน หากพบใครกระทำผิดกฎหมาย หรือผิดวินัย ให้จัดการได้ทันที นี่คือที่มาที่ไปทั้งหมด
@@ ผบ.ตร.ขีดเส้น 16 พ.ย. ต้องสรุปคดี “เสี่ยโจ้” ทั่วไทย
ระยะเวลา 3 วันทำการที่ ผบ.ตร.สั่งให้ ผบช.ภ.9 รายงานผลการสอบสวนกลับเข้ามา ครบกำหนดในวันนี้ (15 พ.ย.) แต่เมื่อนักข่าวไปสอบถาม ผบ.ตร. กลับได้รับคำตอบว่า “ยังอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบและรายงานของ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งตามขั้นตอน จะต้องประมวลเรื่องและมีความเห็นเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านสำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) ว่าตรวจสอบแล้วพบใครบกพร่องหรือไม่ อย่างไร
จากนั้น กมค.อาจจะเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งจเรตำรวจ หรือ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หรือสั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วแต่กรณี”
ผบ.ตร. ยังบอกด้วยว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร. สั่งการให้สำนักงานกฎหมายและคดี ทำบันทึกสอบถามไปยังทุกกองบัญชาการที่มีอำนาจการสอบสวนคดีอาญาทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบคดีอาญาของ “เสี่ยโจ้” แล้วให้รายงานกลับมาโดยด่วน โดยให้มีรายละเอียดชั้นต้นว่าการดำเนินคดีมีจำนวนเท่าใด เรื่องใดบ้าง ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วถึงไหน อย่างไร อยู่ในความรับผิดชอบหรืออยู่ในกระบวนการขั้นตอนใด คดีใดอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ หรือศาล รวมถึงผลคดีด้วย
กมค.กำหนดกรอบระยะเวลาให้รายงานผลกลับมาภายในวันอังคารที่ 16 พ.ย. เพื่อประมวลเรื่องส่งให้ พล.ต.อ.สุทิน ก่อนเสนอให้ตนทราบเพื่อพิจารณาต่อไป
@@ ผบช.ภ.9 แจงไม่พบใครบกพร่อง ทุกอย่างถูกต้องตามระเบียบ
เมื่อ ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ “ทีมข่าว” จึงโทรศัพท์สอบถามเรื่องนี้กับ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้รับคำตอบว่า คณะทำงานที่ตนตั้งขึ้นมา เพิ่งดำเนินการสรุปผลตรวจสอบ พร้อมจัดทำเป็นรายงานนำเสนอ ผบ.ตร.ไปแล้วเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา (15 พ.ย.) แต่อาจจะล่าช้าไปบ้าง ทำให้ ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น คาดว่าให้สัมภาษณ์ก่อนได้รับรายงาน จึงขอให้ทุกฝ่ายรอรับฟังรายละเอียดจาก ผบ.ตร. ซึ่งน่าจะเปิดแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้ (16 พ.ย.)
เมื่อถามถึงผลสอบสวนเบื้องต้น ผบช.ภ.9 ตอบว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ ดำเนินการไปตามขั้นตอนทุกต้องทุกประการ ไม่พบความบกพร่องของผู้ใด ซึ่งเอกสารหมายจับได้เข้าสู่ระบบงานสารบรรณที่ต้องมีหน่วยงาน บุคลากร นำเข้ากลั่นกรอง ก่อนแยกแยะไปตามสายงาน”
เมื่อถามย้ำว่า หากนำหมายจับเข้าระบบแล้ว เหตุใดจึงไม่มีหมายขึ้นในสารบบหมายจับ ผบช.ภ.9 ตอบว่า “มันสวนทาง” และย้ำว่ามีการดำเนินการตามระเบียบครบถ้วน
พล.ต.ท.นันทเดช ตอบมาประมาณนี้ “ทีมข่าว” สรุปคร่าวๆ ได้ว่า มีการส่งหมายจับมาจากศาลจริง มีตำรวจรับไว้จริง และนำเข้าระบบกลั่นกรองตามงานสารบรรณ จากนั้นอาจจะเกิดปัญหาในลักษณะ ด้านหนึ่งก็ส่งไปกลั่นกรอง ทำให้อีกด้านหนึ่งที่ต้องนำหมายจับขึ้นในระบบ ไม่ได้นำเข้าระบบ อาจจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า คือไม่ได้มีใครจงใจกระทำความผิด แต่ส่งกันไป ตรวจสอบกันมา สวนทางกันไปมา ทำให้หมายจับไม่โชว์ในระบบ
แต่ทั้งหมดนี้ท่าน ผบช.ภ.9 ให้รอฟัง ผบ.ตร.แถลงอีกที เพื่อความชัดเจน
@@ ผบช.ก.อ้างยังไม่สรุปหมายจับหาย “ใครผิด”
อีกคนหนึ่งที่ยังไม่ฟันธงว่า “หมายจับเสี่ยโจ้หายไปจากระบบ” เป็นความผิดของตำรวจ ก็คือ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ซึ่งเป็นหน่วยที่จับกุม “เสี่ยโจ้” แล้วต้องปล่อยตัวไปภายหลังนั่นเอง
พล.ต.ท.จิรภพ ตอบคำถามนักข่าวเรื่องหมายจับหาย ซึ่งสำนักงานศาลอยุติธรรมระบุได้ส่งให้ตำรวจแล้วตั้งแต่ปี 2557 ว่า ต้องไปตรวจสอบว่าทำไมหมายจับจึงไม่เข้าระบบ ตำรวจรับมาจริงหรือไม่ รับมาแล้วมีการนำเข้าระบบหรือไม่ เป็นความบกพร่องของใคร ในส่วนของศาลก็ต้องเช็คว่าไม่ลงระบบเพราะอะไร ตอนนี้ยังไม่สรุปว่าใครผิดหรือถูก เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบกันต่อตามข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหมายจับไม่เข้าระบบ
ผบช.ก. บอกด้วยว่า จนถึงปัจจุบันตำรวจยังดำเนินการสืบสวนหาตัว “เสี่ยโจ้” อย่างเต็มที่ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อหาตัวให้เจอ เพื่อนตัวนำกลับมาดำเนินคดี ส่วนหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาของ “เสี่ยโจ้” มีโอกาสเป็นของจริงเนื่องจาก “เสี่ยโจ้” มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชาอยู่ด้วย ขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย
@@ “ท่านเปา” แฉ ตร.เพิ่งขอคัดสำเนาหมายจับจากศาล รู้ตัวคนรับหมาย
ในขณะที่ฝั่งตำรวจไม่ยอมรับว่ากระทำผิดพลาด จนไม่มีหมายจับ “เสี่ยโจ้” ในระบบนั้น
แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้พิพากษา บอกกับ “ทีมข่าว” ว่า เมื่อตำรวจเซ็นรับหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีไปแล้ว ก็ควรที่จะนำไปลงในสารบบของตำรวจ เพราะตำรวจเองก็จะสามารถตรวจสอบได้ทั่วประเทศ
แต่เมื่อเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ได้มาขอคัดสำเนาหมายจับ “เสี่ยโจ้” จากศาล เพื่อนำไปตรวจสอบ โดยเป็นสำเนาหมายจับที่มีการลงลายมือชื่อตำรวจที่เซ็นรับหมาย ซึ่งเป็นตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี ในขณะนั้น
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะไปตรวจสอบคนของตัวเอง ส่วนศาลยุติธรรมเองก็ตรวจสอบในบ้านตัวเองเช่นกัน