วิกฤติโควิดส่งผลกระทบลงลึกถึงครอบครัวไทยทุกภาค ทุกศาสนา โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานรับจ้าง ซึ่งแต่เดิมก็แทบไม่มีหลักประกันอะไรในชีวิตอยู่แล้ว พอมาถึงยุคโควิดยิ่งสาหัส
อย่างที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสาม ถึงขั้นต้องต้มข้าวใส่เกลือให้ลูกทาน เพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน
ซูฮัยนี เจ๊ะเลาะ คือแม่ที่ต้องน้ำตาไหลในวันแม่ เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะสามีจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่กับลูกๆ 3 คนเพียงลำพังในบ้านไม้ยกพื้นผุพังที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ตัวเธอเองปีนี้อายุ 32 ปี ลูกชายคนโตอายุ 8 ขวบ ลูกสาวคนกลางอายุ 5 ขวบ และคนเล็กยังเป็นทารกแค่ 1 ขวบเท่านั้น
แต่เดิม ซูฮัยนีขายลูกชิ้นอยู่ในหมู่บ้าน ได้เงินวันละ 50-100 บาท ก็ยังพอดูแลลูกไปได้ แต่พอโควิดระบาด หมู่บ้านถูกปิด ห้ามคนสัญจรไปมา ทำให้ลูกชิ้นของเธอขายไม่ได้ ไม่มีคนมาซื้อ ขายต่อไปก็ขาดทุน สุดท้ายต้องตัดใจเลิก ชีวิตยิ่งลำบาก ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ถึงขนาดต้องต้มข้าวกับเกลือให้ลูกกิน
“ร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องให้ลูกกินข้าวต้มเกลือ” เธอเปิดใจในวันที่ลำบากที่สุดในชีวิต “ลูกก็กินไปบ่นไป เพราะเค็ม เราเป็นแม่ก็ได้แต่ร้องไห้ แม้จะรู้ว่าร้องไปก็เท่านั้น แต่รู้สึกอัดอั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร”
“วันแม่ปีนี้ไม่ขออะไรมากไปกว่าอาหารและยา จะได้ไม่ต้องไปขอคนอื่นเวลาลูกไม่สบาย ส่วนที่อยากได้อาหาร เพราะไม่อยากให้ลูกกินข้าวต้มเกลือ ส่วนเราเองกินแต่น้ำได้ ก็อดทนเอา” เธอเล่า น้ำตาคลอ
แต่ก็ใช่ว่า ซูฮัยนี จะไม่สู้ชีวิต เพราะแต่ละวันเธอออกเดินไปของานทำตามบ้านต่างๆ กระทั่งได้งานส่งข้าวของร้านขายอาหารตามสั่งเล็กๆ ในหมู่บ้าน แต่เจ้าของร้านไม่ได้จ้างเป็นเงิน เพราะขายแทบไม่ได้เหมือนกัน ยอดสั่งแค่วันละ 100-200 บาท จึงให้เป็นข้าวแทนเงิน ก็ยังดีที่มีข้าวกลับมาให้ลูกกิน เพราะทุกวันนี้แค่ลูกไม่อดก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
“ตอนที่ไปส่งข้าว ลูกชายคนโตกับลูกสาวจะช่วยกันดูแลน้องคนเล็ก พอลูกร้องไห้ก็วิ่งกลับมาให้นม บางครั้งก็เอาลูกๆ ไปของด้วย ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่ว่าอะไร ก็ถือว่าตัวเองโชคดีที่เขาไม่ว่า เสื้อผ้าของตัวเองและลูกๆ ชาวบ้านที่เขาสงสารเขาก็บริจาคให้ ถือว่าครอบครัวเราโชคดีมากแล้ว”
เมื่อถามถึงความฝันในชีวิตของคนเป็นแม่ ซูฮัยนี บอกว่า ถ้าเลือกได้ อยากไปทำงานที่ได้เงินมากกว่านี้ จะได้ซื้ออาหารและยาให้ลูก ส่วนระยะยาวก็อยากเก็บเงินสร้างบ้านให้ลูกๆ จะได้อยู่สุขสบาย เพราะบ้านที่อยู่ทุกวันนี้เป็นของน้า ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาอยู่เองวันไหน ฉะนั้นชีวิตขอแค่มีงาน มีกิน มีบ้านอยู่ ก็ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเธอ
สำหรับบ้านที่ ซูฮัยนี พูดถึง เป็นบ้านไม้ยกพื้นหลังเก่า อายุอานามมากกว่า 60 ปี สภาพผุพัง แทบจะใช้อยู่อาศัยไม่ได้ แต่ก็เป็นชายคาเดียวที่ให้เธอและลูกๆ ได้อาศัยอยู่รวมกันถึง 4 ชีวิต ทุกซอกทุกมุมของบ้านไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
ความโชคดีอย่างเดียวของ ซูฮัยนี คือลูกๆ เป็นเด็กดีและเชื่อฟัง โดยเฉพาะ อิรฟาน สามะแอ ลูกชายคนโตที่ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้ไม่น้อยในแต่ละวัน
“พวกเราจน พวกเราไม่มีข้าวกิน ถ้าแม่ไม่ทำงานเราก็ไม่มีอะไรกิน สงสารแม่ ผมช่วยแม่เลี้ยงน้อง เล่นกับน้อง พอน้องตื่นก็พาน้องไปให้แม่ที่ร้านข้าว และช่วยแม่เอาเสื้อไปแช่ในกะละมังด้วย พอแม่ขายข้าวเสร็จแม่ก็จะมาซัก” อิรฟาน เล่าถึงกิจวัตรในแต่ละวัน
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากได้ในวันแม่ อิรฟาน บอกว่า “วันแม่อยากให้แม่มีเงิน พวกเราจะได้ซื้อข้าว และเวลาน้องไม่สบาย แม่จะได้ไม่ต้องไปขอยาจากคนอื่น แม่บอกว่าเราจน เราต้องอดทน พวกเราก็อดทน ไม่ดื้อกับแม่”
นี่คืออีกหนึ่งครอบครัวที่ต้องทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัสในยุคโควิดกินเมือง และยังมีอีกหลายครอบครัวที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ โดยที่การเยียวยาของรัฐมักตกสำรวจ และเข้าไม่ถึงพวกเขาเลย...