
ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ตั้งข้อสังเกตศาลจังหวัดยะลามีคำสั่งยกคำร้อง กรณีญาติขอให้ยุติการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมในคดีของนายมังซูร (สงวนนามสกุล) โดยศาลให้เหตุผลว่าแม้จะมีการกระทำในลักษณะ "หยาบคาย - ไม่สมควร” กับผู้ถูกควบคุมตัว แต่ไม่เข้าข่ายการทรมานตามกฎหมาย
โดยความน่าสนใจก็คือ คดีนี้เป็นการไต่สวนคดีแรกภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้มานาน 3 ปี
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า คดีนี้เป็นคำร้องของญาติที่ยื่นต่อศาลโดยตรง ไม่ใช่คดีที่ตำรวจเป็นผู้ตั้งคำร้อง ถือเป็นสิทธิตามกฎหมายใหม่ให้อำนาจแก่ผู้เสียหายหรือญาติสามารถร้องเรียนต่อศาล, ตำรวจ, อัยการ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ หรือเจ้าหน้าที่ปกครองได้โดยตรง กรณีที่ถูกกระทำในลักษณะเข้าข่ายการทรมาน หรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นางสาวพรเพ็ญ เล่าถึงความเป็นมากรณีนี้ว่า นายมังซูรถูกควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษ เมื่อญาติเข้าไปเยี่ยม พบว่านายมังซูรมีอาการร้องไห้อย่างหนัก ขณะที่การขอเข้าพบเพื่อเป็นทนายความให้นายมังซูร ก็ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างระเบียบ กอ.รมน. ที่กำหนดให้ต้องขออนุญาตจากแม่ทัพภาคที่ 4 ก่อน ซึ่งระเบียบนี้ถูกใช้ก่อน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จะมีผลบังคับใช้
แม้ต่อมาศาลจะรับคำร้องของญาติ และทำการไต่สวน แต่ท้ายที่สุดก็มีคำสั่งยกคำร้อง
@@ เตะที่เท้า - ผลักศีรษะ - บังคับชี้รูป ยังไม่ถึงขั้นทรมาน
“ในการพิจารณาคดี ศาลยอมรับว่ามีการกระทำที่ ‘หยาบคาย’ และเชื่อว่ามีการเตะที่เท้า และผลักศีรษะจริง ก่อนที่จะมีการบังคับให้รับสารภาพและชี้รูป แต่ศาลวินิจฉัยว่า การกระทำทั้งหมดนี้ยังไม่ถึงขั้นเป็นการทรมาน หรือการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ศาลให้เหตุผลว่า การกระทำตามคำร้องไม่ได้จำกัดสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะนายมังซูรยังคงได้กิน ได้นอน และมีสถานที่ละหมาด ศาลระบุว่าการทรมานต้องถึงขนาดเกิดความเจ็บปวดถึงระบบประสาท มิใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึก” ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเคยเป็นประธานแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย ระบุ
@@ ข้องใจอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษ จึงไม่ผิดใช่หรือไม่?
นางสาวพรเพ็ญ ตั้งข้อสังเกตต่อว่า หากพฤติกรรมเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไป อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาได้ทันที แต่เมื่อเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ที่ใช้กฎหมายพิเศษ กลับไม่เป็นความผิดทางอาญา แม้จะอ้างกฎหมายซ้อมทรมานฯ นอกจากนี้ การที่นายมังซูรนอนไม่หลับเนื่องจากถูกซักถามตลอดเวลา ศาลให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องที่ควรหาผ้าปิดตาให้
“คำสั่งของศาลในครั้งนี้ อาจส่งผลเป็นเกราะป้องกันให้เจ้าหน้าที่หรือไม่ เพราะการกระทำที่จะเข้าข่ายการทรมาน จะต้องรุนแรงและสาหัสจริงๆ นอกจากนั้นศาลไม่ได้สั่งปล่อยตัวนายมังซูร และยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ หมายความว่าศาลยังให้ผู้ถูกควบคุมตัวที่ถูกกระทำอย่างหยาบคายยังคงต้องอยู่ในสถานที่เดิมต่อไป อาจเป็นการอนุญาตให้กระทำบางส่วนเท่าที่ศาลคิดว่ายังโอเคอยู่ เช่น แค่หยาบคาย หรือแค่ทำให้ขาดละหมาดบางช่วงเวลา” เธอตั้งข้อสังเกต
@@ ครอบครัวผู้เสียหายเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่ง
นางสาวพรเพ็ญ ยังบอกด้วยว่า ครอบครัวของนายมังซูรมีแนวโน้มที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่ง เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายต่อไป
“ขอตั้งคำถามว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐยังคิดแบบนี้ จะต้องรอให้ผู้ถูกกระทำได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นปางตายก่อน จึงจะถือว่าเข้าข่ายการทรมานใช่หรือไม่”
@@ เปิดไทม์ไลน์คดี “มังซูร” ถูกซักถามวันละหลายรอบ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับนายมังซูร เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 25 ส.ค.68 และถูกควบคุมตัวที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเวลา 7 วัน ก่อนจะถูกส่งตัวเข้ากระบวนการซักถาม ที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) อำเภอเมืองยะลา ในช่วงเย็นวันที่ 31 ส.ค.68
ข้อมูลจากนางสาวพรเพ็ญ ระบุว่า นายมังซูร มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน และมีอาการปวดชาที่ขาทั้งสองข้างบ่อยๆ ตลอดระยะเวลาการควบคุมตัว โดยนายมังซูรเล่าว่า ถูกซักถามหลายรอบต่อวัน รวมถึงช่วงเวลา 20.00-22.00 น. เจ้าหน้าที่ผู้ซักถามมีทั้งจากศูนย์พิทักษ์สันติ และชุดสืบสวนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำ
นางสาวพรเพ็ญ ให้ข้อมูลอีกว่า นายมังซูรเล่าว่า ระหว่างการซักถาม มีอาการเจ็บและบวมที่ขา มีอาการชาตั้งแต่หัวเข่าถึงเท้า แต่ไม่ถึงขั้นเดินไม่ได้
ช่วงเย็นวันที่ 2 ก.ย.68 เขาถูกเจ้าหน้าที่ชุดดำ 3 คน เตะที่ขาและผลักศีรษะ เนื่องจากไม่พอใจที่เขาตอบคำถามไม่ได้
นอกจากนั้น ห้องซักถามยังไม่มีกล้องวงจรปิด และห้องพักถูกเปิดไฟตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เขาหลับได้น้อยมาก
วันที่ 3 ก.ย.68 เขาได้แจ้งภรรยาและญาติถึงการถูกทำร้าย พร้อมระบายความรู้สึกกดดันและร้องไห้
วันที่ 5 ก.ย.68 ญาติของนายมังซูรได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดยะลา
วันที่ 8 ก.ย.68 ศาลจังหวัดยะลาได้เปิดการไต่สวน
วันที่ 10 ก.ย.68 ศาลสั่งยกคำร้อง
โดยศาลวินิจฉัยว่าการกระทำที่เกิดขึ้นยังไม่ถือเป็นการทรมานตามมาตรา 5 และไม่เป็นการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
นางสาวพรเพ็ญ ยังบอกด้วยว่า จากการสอบถามครอบครัวของนายมังซูร ได้รับการยืนยันว่า นายมังซูรไม่ได้ร้องไห้เพราะคิดถึงภรรยา แต่ร้องไห้ด้วยความกลัวและความกังวล ขณะที่ญาติรู้สึกไม่พอใจที่ระหว่างการไต่สวน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งล้อมรอบนายมังซูรในห้องพิจารณาคดี โดยไม่ได้เซ็นชื่อตามคำสั่งของศาล ทั้งๆ ที่ศาลบอกให้ทุกคนเซ็นชื่อ
@@ เปิดเหตุผลศาล เตะ - ผลักศีรษะแค่ปลายมือ ไม่แรงถึงกับเจ็บ
จากข้อมูลและข้อเท็จจริงทางฝั่งทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม “ทีมข่าวอิศรา” ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสำนักงานศาลยุติธรรม ได้รับข้อเท็จจริงและคำชี้แจงในหลายประเด็น
โดยคดีดังกล่าวเป็นคำร้องที่ น.ส.สิยานี ภรรยาของนายมังซูร กับพวกรวม 2 คน ยื่นขอให้ศาลจังหวัดยะลาสั่งให้ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ หยุดการทรมานนายมังซูร
รายละเอียดการพิจารณามีดังนี้
- ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกควบคุมตัวถูกกระทำทรมาน โหดร้าย ไร้มนุษยธธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่
- เห็นว่าผู้ถูกควบคุมตัวเบิกความว่าถูกเจ้าหน้าที่เตะและใช้ปลายฝ่ามือผลักศีรษะ แต่ไม่แรงไม่ถึงกับเจ็บ และไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร
- นอกจากนั้น ผู้ถูกควบคุมตัวไม่ได้ถูกทำร้ายหรือข่มขู่ ขู่เข็ญใดๆ อีก
- เจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า สถานที่ควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมตัวและการชักถาม ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เบิกความในฐานะพยานยืนยันว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน ไม่เคยมีการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจของผู้ถูกควบคุมตัว แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เจ้าหน้าที่อื่นจะทำการอย่างไร
@@ ไม่นิ่งนอนใจ มีเรื่องร้องเรียนพาส่ง รพ.ทันที
- เมื่อได้รับแจ้งจากผู้ถูกควบคุมตัว ก็รีบพาตัวผู้ถูกควบคุมตัวไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย
- ผู้ถูกควบคุมตัวเบิกความว่า มิได้ถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายหรือกระทำทรมานทารุณโหดร้ายอย่างไรอีก นอกเหนือจากที่ปรากฏในทางไต่สวนว่า ถูกเจ้าหน้าที่เตะขาและใช้ปลายมือผลักศีรษะในลักษณะแสดงความหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์
- ในขณะที่พยานก็ยืนยันว่า ไม่มีการกระทำทรมานที่ศูนย์พิทักษ์สันติ และเมื่อทราบเรื่อง ก็มิได้นิ่งนอนใจ และดำเนินการตามที่จำเป็นแล้ว
@@ ญาติเบิกความไร้ประเด็นร่องรอยการทำร้าย - ป่วยยังได้หาหมอ
- เมื่อพิจารณาคำเบิกความของภริยาและหลานสาวของผู้ถูกควบคุมตัว ซึ่งได้เข้าพบผู้ถูกควบคุมตัวในระยะเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่อ้างว่ามีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น แต่พยานทั้งสองปากมิได้เบิกความว่าเห็นร่องรอยการทำร้ายหรืออาการบาดเจ็บอันเป็นประจักษ์ของผู้ถูกควบคุมตัว แต่กลับได้ความว่า ผู้ถูกควบคุมตัวซึ่งมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน และมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับเส้นเอ็นและกระดูก ได้รับการดูแลจากแพทย์จนอาการดีขึ้น
เรื่องอาหารการกินเป็นไปตามปกติ กับได้รับอนุญาตให้ประกอบศาสนกิจตามสมควร เว้นแต่บางครั้งที่มีการชักถามต่อเนื่อง
- ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่เปิดไฟทิ้งไว้ขณะนอนหลับนั้น มีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย การดูแลสถานที่ และระบบไฟฟ้า แต่เจ้าหน้าที่สามารถจัดหาอุปกรณ์ปิดตากันแสงขณะนอนหลับให้ได้
@@ บรรทัดฐาน “ทรมาน” ต้องเจ็บปวดร้ายแรง - กระทบระบบประสาท
- กรณีเชื่อได้ว่า สภาพความเป็นอยู่ของผู้ถูกคุมขังสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย และถูกควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งทำให้สิทธิเสรีภาพบางประการถูกจำกัดไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นการลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์
ประกอบกับการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จะต้องเป็นการกระทำที่ถึงขนาดให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่เนื้อตัว ร่างกาย และจิตใจ หรือมีผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง มิใช่เพียงผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ
ดังนั้นแม้จะฟังได้ว่ามีการเตะขาและผลักศีรษะผู้ถูกคุมขังในลักษณะดังกล่าวจริงหรือไม่ก็ตาม การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายไม่สมควร แต่ความรุนแรงของการกระทำในระดับนี้ ยังมิอาจถือว่าเป็นการกระทำทรมานหรือการกระทำที่โหดร้ายตามความหมายของมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 จึงให้ยกคำร้อง
