
ในขณะที่รัฐบาลไทย โดยเฉพาะคนเป็นผู้นำ ไม่สามารถสื่อสารและบริหารอารมณ์ของผู้คนในสังคมได้ในสถานการณ์วิกฤติไทย-กัมพูชา
ทว่าผู้นำฝ่ายตรงข้ามกลับใช้สงครามข่าวสารและจิตวิทยายั่วยุอยู่ตลอด
ความแตกต่างนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะนำมาซึ่งความได้เปรียบทางการเมือง และเล่นงานฝ่ายตรงข้ามผ่านสื่อในมือได้อย่างง่ายๆ และมียุทธศาสตร์
อาจารย์พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร พาไปสำรวจ “เฟซบุ๊ก” ของ สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯกัมพูชา ซึ่งไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียแค่สื่อสารทางการเมืองของตนเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นเกม และข่มขู่ศัตรูทางการเมืองทุกฝ่าย รวมทั้งไทย ซึ่งเขาไม่เคยมองเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
@@ โซเชียลมีเดีย...เครื่องมือข่มขู่ทางการเมืองของ “ฮุนเซน”
ข่าวที่ผู้คนให้ความสนใจมากกว่าข่าวใดๆ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องมาถึงเดือนมิถุนายน คงไม่มีข่าวไหนที่จุดกระแสการรวมชาติไทยได้มากเท่าข่าวการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่ชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568
นอกจากข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อหลักอย่างกว้างขวางแล้วโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เผยแพร่ข่าวและความเห็นกันอย่างหลากหลาย และแน่นอนว่าความเห็นต่างๆ เต็มไปความเผ็ดร้อนจากอารมณ์โกรธ ด้วยเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนครั้งที่เราต้องเสียดินแดนเขาพระวิหารให้กับกัมพูชามาแล้วเมื่อปี 2505
และเสียงของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดไว้ในวันเสียดินแดนว่า “จะนำเขาพระวิหารกลับคืนมา” ยังดังก้องหู ซึ่งคนไทยในยุคนั้นยังจำได้ดี และยังถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้
การตอบโต้ที่ล่าช้าและการตอบคำถามที่ขาดความหนักแน่นของรัฐบาลต่อท่าทีที่กัมพูชาท้าทายต่อประเทศไทย จึงไม่ทันต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คนที่ได้รับจากการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียที่ล่วงหน้าไปไกลแล้ว แม้ว่าจะมีการแถลงในภายหลังก็ไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ของผู้คนต่อความไม่พอใจรัฐบาลได้ จนถึงกับนำไปเปรียบเทียบกับนโยบายด้านความมั่นคงและต่างประเทศของรัฐบาลลุงตู่ กับรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งต่างกันราวฟ้ากับดิน และเกิดเสียงเรียกหาทหารดังกระหึ่มโลกโซเชียล
เสริมด้วยพลังจากเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ที่สถานีวิทยุบางแห่งนำมาเล่น ทำให้เมืองไทยเวลานี้เหมือนกับบรรยากาศเมื่อคราวที่เราสูญเสียเขาพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อนไม่มีผิด เพียงแต่ยุคนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดีย การแสดงออกของผู้คนจึงอยู่ตามถนนและสถานที่ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่
และกว่าประโยค “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” จะออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีได้ เหตุการณ์ก็ล่วงเลยไปถึง 8 วัน ทั้งที่ตลอดเวลา แฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด และมีมต่างๆ ปลิวว่อนอยู่บนโลกออนไลน์เกือบทุกนาที จนทำให้ความไม่พอใจของผู้คนที่สะสมมาหลายวันกลายเป็นความโกรธ และเห็นว่ารัฐบาลไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ทันเกมการเมืองของกัมพูชา
การที่รัฐบาลปล่อยให้อารมณ์ของผู้คนเตลิดไปตามอารมณ์บนโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ผนวกกับการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม จนถึงขั้นมีการแชร์ข้อความว่อนบนโลกโซเชียลว่า “ไม่มีนักการเมือง ประเทศอยู่ได้ แต่ไม่มีทหาร ประเทศอยู่ไม่ได้” หรือประโยคที่นักการเมืองเคยพูดว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ได้กลับมาหลอกหลอนคนพูด ยิ่งแสดงให้เห็นถึงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนักการเมือง โดยเฉพาะต่อรัฐบาลที่ไม่สามารถสื่อสารและไม่สามารถบริหารอารมณ์ของผู้คนได้ในสถานการณ์วิกฤติ
ขณะที่ผู้นำฝ่ายตรงข้ามใช้สงครามข่าวสารและจิตวิทยายั่วยุอยู่ตลอดเวลา
@@ โพสต์ล่อเป้าของ “ฮุนเซน” ย่ำหัวใจคนไทย
แม้ว่าการสู้รบจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่สงครามข่าวสารและความตึงเครียดทางการเมืองกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลังจากการปะทะ สมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พ่อของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก บัญชีชื่อ Samdech Hun Sen of Cambodia โดยยืนยันจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” เนื่องจากเป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมท้าทางการไทยให้ไปตัดสินความถูกต้องกันในศาลโลก
นอกจากนี้ยังมีการปิดกั้นไม่ให้คนไทยเห็นข้อความที่เขาโพสต์ โดยอ้างว่า “ชาวไทยหัวรุนแรงบางคนเข้ามายังเฟซบุ๊กของผม แล้วแสดงความเห็นโจมตีและดูหมิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนของกัมพูชาและไทย และเพิ่มความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่การปะทะกันทางทหารระหว่างทั้งสองประเทศ” (1)
โพสต์ของ ฮุน เซน จึงเร่งอุณหภูมิของอารมณ์ผู้คนให้ตึงเครียดขึ้นไปอีก และข้อความที่แสดงความแข็งกร้าวของฮุน เซ็น บนเฟซบุ๊ก จึงขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของรัฐบาลไทยและการสื่อสารต่อสาธารณะด้วยการตอบคำถามที่ไม่เฉียบขาดและกำกวมของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคนไทยจนไม่อาจอดทนต่อความไม่ชัดเจนของรัฐบาลได้ จนต้องไประบายออกอย่างไม่ยั้งมือบนโซเชียลมีเดียแทน
การปล่อยให้เกิดช่องหว่างระหว่างความเข้าใจของคนไทยกับการออกมาแสดงท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกรณีการปะทะนานจนเกินไป จึงยิ่งเติมอารมณ์ของความไม่พอใจของผู้คนให้ทวีมากยิ่งขึ้นไปอีกจนกู่ไม่กลับ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่าง ข้อมูลข่าวสารที่คนไทยได้รับ กับสิ่งที่รัฐบาลพูด จนนำไปสู่วิกฤตศรัทธา และลดทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาล และลามไปถึงนักการเมืองของไทย และพิสูจน์ให้เห็นถึงการศักยภาพในการสื่อสารของผู้นำของประเทศในยามวิกฤติได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่น่าตำหนิต่อการกระทำของรัฐบาลก็คือ ขณะที่ผู้คนกำลังอยู่ในอารมณ์ของความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาชายแดนซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย รัฐบาลกลับใช้โอกาสในการแถลงข่าวโครงการ “Thailand Entertainment Complex : มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน” โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสของการท่องเที่ยวไทย และอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลต้องทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นการแถลงที่แสดงถึงความไม่รู้จักกาลเทศะ ทั้งที่จะเว้นไปก่อนค่อยมาแถลงวันหลังก็ไม่ได้เสียหายอะไร
@@ ผู้นำโลกกับโซเชียลมีเดีย
ฮุน เซน ก็เหมือนกับผู้นำโลกคนอื่นๆ ที่มักใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับผู้คนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การแสดงจุดยืนทางการเมือง การปรากฏตัวในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาชวนเชื่อ
เพราะโซเชียลมีเดียเป็นกระบอกเสียงที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย รวดเร็วกว้างขวาง และสามารถสื่อสารได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ
ที่สำคัญคือทำให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองได้สื่อสารออกไป
X เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับนิยมมากที่สุด ประเทศต่างๆ 190 ประเทศต่างใช้แพลตฟอร์ม X ในการสื่อสารในนามของรัฐบาล แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะรัฐบาลและผู้นำมากถึง 187 ประเทศแสดงตัวตนบนเฟซบุ๊ก
178 ประเทศใช้อินสตาแกรม 173 ประเทศใช้ YouTube และ 163 ประเทศใช้ LinkedIn
TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยม โดยมีประเทศและผู้นำมากถึง 108 ประเทศใช้ TikTok ในการสื่อสาร
ในขณะที่แพลตฟอร์มน้องใหม่ Threads จาก Meta ก็มีการใช้งานมากถึง 87 ประเทศ
อย่างไรก็ตามแต่ แพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อคนอ่านมากที่สุดคงยังเป็นเฟซบุ๊ก (2) จึงไม่แปลกที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศจึงเลือกใช้เฟซบุ๊กเพื่อการสื่อสารถึงคนส่วนใหญ่ รวมทั้งฮุนเซนเองด้วย
@@ เฟซบุ๊กของฮุนเซน
ฮุนเซน มีบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Samdech Hun Sen of Cambodia เขาเปิดบัญชีเฟซบุ๊กมาตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งครบสิบปีพอดี โดยมี ดวง ดารา(Duong Dara) เป็นผู้ดูแลบัญชีเฟซบุ๊ก และให้คำแนะนำการใช้โซเชียลมีเดียให้กับเขา
ฮุนเซน มีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กราว 14 ล้านคน ท่ามกลางข้อครหาว่าผู้ติดตามส่วนใหญ่ของเขาเป็น “บัญชีผี” (Ghost account) ที่ถูกซื้อมา ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
ฮุนเซน มักใช้เฟซบุ๊กเพื่อแสดงภาพกิจกรรมครอบครัว การถ่ายทอดสดการพูดของเขาในโอกาสต่างๆ รวมทั้งใช้เฟซบุ๊กเพื่อการข่มขู่ศัตรูทางการเมืองของเขาเองด้วย ซึ่งไม่ต่างจากพฤติกรรมของผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จคนอื่นๆ ที่มักใช้วิธีเดียวกัน
ความก้าวร้าวของเขาทำให้บัญชีเฟซบุ๊กของเขาเกือบถูกปิด เพราะครั้งหนึ่งเขาถูกบอร์ดกำกับดูแลของเฟซบุ๊กตักเตือนว่า เขาใช้คำพูดที่มีเนื้อหาอาจนำไปสู่ความรุนแรงในวิดีโอที่เขาปราศรัยโจมตีนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างรุนแรง ที่กล่าวหาว่าพรรคของเขาขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้งว่า
“พวกเขาอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางกฎหมายหรือถูกตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรครัฐบาลของผมขโมยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับชาติในช่วงปลายปีนี้” (3)
บัญชีของฮุนเซน ถูกเสนอจากบอร์ดกำกับดูแลที่ให้ระงับบัญชีเป็นเวลา 6 เดือน จากพฤติกรรมก้าวร้าวทางภาษาของฮุนเซน ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการกำราบคู่แข่งทางการเมือง ที่เรียกว่าการใช้อำนาจทางดิจิทัล (Digital authorization) บนเฟซบุ๊ก (4)
ทันทีที่บอร์ดกำกับดูแลประกาศความเห็นสู่สาธารณะ ฮุนเซนก็ปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองประท้วงในทันที และขู่ด้วยว่าจะปิดบริการของเฟซบุ๊กในกัมพูชา
อย่างไรก็ตามในภายหลัง บริษัท Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปัดตกข้อเสนอของบอร์ดกำกับดูแลของเฟซบุ๊ก โดยไม่ปิดบัญชีของฮุนเซน ท่ามกลางข้อกังขาของนักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชน โดยพวกเขามองว่าการตัดสินใจและคำอธิบายของ บริษัท Meta ที่ไม่ปิดบัญชีเฟซบุ๊กของ ฮุนเซน คือความล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับบทบาทของแพลตฟอร์มของตนต่อความรุนแรงทางการเมือง และดูเหมือนว่าให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าคุณค่าทางประชาธิปไตย ความปลอดภัยสาธารณะ และการพูดคุยที่ไม่ใช้ความรุนแรงในที่สาธารณะ(5)
หลังปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองไปเพียง 3 สัปดาห์ ฮุนเซน ก็หวนกลับมาใช้เฟซบุ๊กดังเดิม หลังจากหันไปใช้ “เทเลแกรม” ในการสื่อสารกับผู้คน และมีผู้ติดตามเพียง 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งต่างจากจำนวนผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กอย่างลิบลับ
ฮุนเซน และผู้นำคนอื่นๆ ทั้งโลกรู้ดีว่า โซเชียลมีเดียคือสื่อที่เข้าถึงผู้คนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสื่อใดๆ ในยุคนี้ และการเลือกใช้เฟซบุ๊ก คือการเข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด เขาจึงต้องหันกลับมาหาเฟซบุ๊กโดยไม่มีทางเลือก แม้ว่าจะเคยข่มขู่จะปิดเฟซบุ๊กในกัมพูชามาแล้วก็ตาม
@@ ฮุนเซน ส่งสัญญาณอะไรบนเฟซบุ๊ก
การโพสต์เฟซบุ๊กของฮุนเซน กลางดึกของวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนัยสำคัญสะท้อนให้เห็นว่า
- เขาไม่รามือเรื่องพื้นที่ชายแดนซึ่งเขามุ่งมั่นมาตลอดว่าบางส่วนเป็นของกัมพูชา
- เขาใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีฟ้องชาวโลกว่าเขาคือผู้ถูกรุกราน
- เขาใช้โซเชียลมีเดียข่มขู่ประเทศไทยว่าจะนำโมเดลเขาพระวิหารที่เคยใช้ได้ผลเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน กลับมาใช้อีก
- เขาใช้โซเชียลมีเดียปลุกกระแสความรักชาติแก่คนกัมพูชา แต่ก็ปลุกกระแสความรักชาติแก่คนไทยและสร้างความเกลียดชังซึ่งกันในเวลาเดียวกัน
- เขาใช้พฤติกรรมก้าวร้าวบนโซเชียลมีเดียแบบเดิมที่เคยใช้กับคู่แข่งทางการเมืองของเขาในการข่มขู่ประเทศไทย เสมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่า
-เขาแสดงถึงความมีอำนาจเต็มของตัวเองในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในกัมพูชาได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
-โพสต์ของเขาแสดงนัยว่าเขาไม่เคยมองประเทศไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
โพสต์ของฮุนเซน เป็นการแสดงออกที่ไม่ได้แสดงพลังของตัวเขาเองธรรมดาๆ ท่านั้น แต่เป็นข้อความที่มีการเตรียมการมาอย่างดี เพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และใช้ภาษาล่อเป้าที่กระตุ้นอารมณ์ (Emotive language)ของคนทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหมือนข้อความที่บังคับให้คนอ่านมีอารมณ์ที่จะต้องตอบโต้ในทันที
จากการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่กระจายของคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียพบว่า หากมีการใส่คำพูดเชิงศีลธรรม (Moral) หรือคำพูดที่เกี่ยวกับอารมณ์ (Emotion) เข้าไปในข้อความที่โพสต์บนทวิตเตอร์ จะทำให้ไวรัลของคอนเทนต์นั้นเพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์
ต่อคำโพสต์ของฮุนเซน บนเฟซบุ๊กก็ไม่ต่างกัน เพราะเขาใช้ภาษาล่อเป้าที่ทำให้ทั้งคนไทยและคนกัมพูชาซึ่งมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องเข้าไปอ่าน รวมทั้งแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและโต้ตอบอย่างดุเดือดจน กระทั่งฝั่งกัมพูชาต้องมีการปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่อยู่ในประเทศไทยได้เห็นโพสต์นั้นอีกต่อไป
ข้อความที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดียของฮุนเซน และผู้นำประเทศคนอื่นๆ มักทำให้เกิดคำถามว่าข้อความเหล่านั้นเป็นจริงเป็นจังและเชื่อมั่นได้มากน้อยเพียงใด
จากการศึกษาพบว่าคนทั่วไปมักยอมรับว่า ข้อความที่ผู้นำประเทศต่างๆ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มักเป็นสัญญาณทำนองเดียวกับแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ (Official statement) ของประเทศนั้นๆ การโพสต์ต่างๆของผู้นำประเทศจึงไม่ใช่ข้อความเล่นๆ ที่ควรมองข้าม(6)
ข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซนก็ไม่ต่างกัน เพราะเพียง 4 วันจากโพสต์แรกของเขาบนเฟซบุ๊ก เขาได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้งเพื่อยืนยันคำพูดในโพสต์ก่อนหน้าของเขาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาของกัมพูชามีมติเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชายื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยต่อศาลโลก ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซนกับมติสภาฯและแถลงการณ์ที่เป็นทางการของกัมพูชาเป็นไปในทางเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน
การโพสต์ข้อความของผู้นำประเทศต่างๆ บนโซเชียลมีเดียมักชี้นำผู้คนไปในสองแนวทางเสมอ ผู้นำบางคนใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ข้อความเพื่อให้เหตุการณ์บรรเทาความตึงเครียดและลดความขัดแย้งลง ในขณะที่ผู้นำบางคนใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโพสต์ข้อความที่เพิ่มระดับความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น และมักนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำของประเทศนั้นๆ ว่า ตั้งใจจะนำพาประเทศและอารมณ์ของผู้คนไปในทิศทางใด
ข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซนที่ปรากฎต่อสายตาคนไทยและชาวโลก พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาเป็ยผู้นำประเภทหลัง ซึ่งเลือกที่จะไม่ใช้แนวทางที่นำไปสู่ความสันติ แต่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับประเทศไทยตลอดเวลา
------------------------------------------------------
อ้างอิง
1.ไทยรัฐออนไลน์ 31 พค 2568
2. https://luefkens.medium.com/lessons-from-the-2024-social-media-rankings-of-world-leaders-171bc721e56f
3.https://www.bangkokpost.com/world/2478517/cambodia-pm-hun-sen-warns-rivals-face-legal-action-or-sticks
4.https://www.voanews.com/a/cambodia-s-leader-returns-to-facebook-after-3-weeks-/7190014.html
5. https://www.voanews.com/a/critics-skewer-meta-for-not-suspending-former-cambodia-leader-s-facebook-account/7290904.html
6. https://phys.org/news/2024-05-leaders-social-media-formal-statements.html
