การเดินทางเยือนไทยของนายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ในวันที่ 17 เม.ย.68 เดิมมีข่าวหลุดจากกระทรวงการต่างประเทศแต่เพียงว่าเป็นการเยือนแบบ working visit แนวๆ เช้าไป-เย็นกลับ แค่วันเดียว
แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยภารกิจชัดเจน
กระทั่งล่าสุดมีข่าวหลุดออกมาเพิ่มเติมว่า มีวาระพบปะและภารกิจลับหลายอย่างเดียวกับการแก้ไขปัญหาสงครามกลางเมืองในเมียนมา
ถึงขนาดมีข่าวนัดพบหารือกับ พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ในไทย
ฉะนั้นจึงเป็นการ working visit ในฐานะประธานอาเซียน
จึงมีวาระลับ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร นัดเลี้ยงอาหารค่ำ ในฐานะที่อดีตนายกฯไทยเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของประธานอาเซียน อันวาร์ อิบราฮิม ด้วย
การใช้ได้เป็นสถานที่พบปะกับ พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย และใช้เป็น “เวทีกลาง” ในการแก้ไขปัญหาเมียนมาในบริบทของอาเซียน อาจมองได้ทั้งมุมบวกและมุมลบ สามารถถกเถียงกันได้อย่างกว้างขวาง
แต่อีกเรื่องที่บางฝ่ายแอบคิด แอบหวังว่าไม่ควรลืม คือน่าจะมีห้วงเวลาของการพูดคุยแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วย
เพราะมาเลเซียถือเป็น “ตัวละครสำคัญ” ในภารกิจดับไฟใต้ของไทย แม้รัฐบาลไทยทุกชุดจะยืนยันว่าเป็น “ปัญหาภายใน” ของไทยเองก็ตาม
ดร.ซาช่า เฮลบาร์ต (Dr. Sascha Helbardt) นักวิจัยชาวเยอรมัน ซึ่งร่วมวิจัยในโครงการ “แนวความคิดในการต่อต้านความรุนแรงแบบสุดโต่ง กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย” และศึกษาลงลึกเกี่ยวกับองค์กร BRN เคยให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ทีมข่าวอิศรา” เอาไว้ว่า ปีนี้คือ “ปีทอง” ของการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ เพราะมาเลเซียเป็นประธานอาเซียน และอดีตนายกฯไทยผู้มีศักยภาพอย่างนายทักษิณ ได้รับเกียรติให้เป็นที่ปรึกษา
ขณะที่แกนนำ BRN เกือบทั้งหมดที่มีบทบาทสูงต่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ล้วนพำนักอยู่ในมาเลเซีย
ดร.ซาช่า จึงเสนอแนวคิดเรื่อง “ความท้าทายในการเจรจาสันติภาพระหว่างทักษิณ-อันวาร์ กับ BRN” ในวาระที่นายกฯอันวาร์ เดินทางเยือนไทย
“ทีมข่าวอิศรา” แปลถอดความคิดของ ดร.ซาช่า ทั้งการแปลโดยตรงเอง และใช้โปรแกรม AI
ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอเชิงกลยุทธ์และนโยบายจาก ดร.ซาช่า เพื่อให้หวังเป็นเสียงดังๆ ที่ส่งถึงผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่าย คือ มาเลเซียและไทย เกี่ยวกับปัญหาชายแดนใต้ ในโอกาสที่ประธานอาเซียนเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
1. ความไม่เต็มใจของผู้นำ BRN ที่จะมีส่วนร่วมกับการเจรจาสันติภาพ
จุดยืนปัจจุบันของ BRN: แกนนำหลักของขบวนการ BRN ยังคงต่อต้านการเจรจา โดยเชื่อว่าตนยังได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์หลังจากสู้รบมากว่าสองทศวรรษ พวกเขายังคงรักษาอิทธิพลไว้ได้ผ่านการปลูกฝังแนวคิด การปฏิบัติการทางทหาร และการปกครองเงา
ช่องว่างในการปราบปรามการก่อความไม่สงบ: ประเทศไทยยังขาดมาตรการเชิงรุกในการต่อต้านขบวนการ เช่น
- การรบกวนรัฐเงาและเครือข่าย RKK ของ BRN
- การต่อต้านแนวคิดหัวรุนแรง (CVE)
- การตัดเส้นทางการสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มก่อความไม่สงบ
- การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อสร้างความไว้วางใจ
หากไม่จัดการกับช่องโหว่เหล่านี้ เป็นไปได้ยากที่ผู้นำ BRN จะเห็นประโยชน์จากการเจรจา
2. ช่องทางผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติของมาเลเซีย หรีอ NSC ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การเข้าถึงที่จำกัด: NSC ซึ่งนายกฯอันวาร์พึ่งพา มีการเข้าถึงแกนนำตัวจริงของ BRN เพียงเล็กน้อย
- ประเมินเพียงแค่ 10% เท่านั้น
- แนวทางนี้เชื่อว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ
- บุคคลสำคัญของ BRN ที่อดีตนายกฯทักษิณได้พบและสามารถติดต่อได้ในช่วงหลังที่กลับมามีบทบาทในการเมืองไทยอีกครั้ง คือ นายฮาซัน ตอยิบ และ นายวาเหะ หะยีอาแซ ซึ่งทั้งสองเคยเปิดตัวในฐานะคณะพูดคุยกับรัฐบาลไทยในอดีตมาแล้ว จึงเชื่อว่า “ไม่ใช่สมาชิกองค์กรนำ หรือตัวจริงที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด”
ข้อจำกัดด้านเวลา: การพึ่งพา NSC เพียงอย่างเดียวเสี่ยงต่อการเสียเวลา เนื่องจากอดีตนายกฯทักษิณให้คำมั่นว่าจะเห็นความคืบหน้าอย่างชัดเจนภายในหนึ่งปี (พูดระหว่างลงพื้นที่ชายแดนใต้ครั้งแรกในรอบ 20 ปี เมื่อเดือน ก.พ.68)
อ่านประกอบ : “ทักษิณ” เอ่ยขออภัยความผิดพลาดเหตุการณ์ตากใบ
3. ช่องทางทางเลือกในการเข้าถึงผู้นำ BRN
ตำรวจหน่วยสืบราชการลับพิเศษของมาเลเซีย (SBP): SBP มีความสัมพันธ์กับผู้นำ BRN มากกว่า แต่ก็มีความขัดแย้งทางการเมืองกับนายกฯอันวาร์ การร่วมมือกับ SBP อาจเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้นำ BRN ได้ถึงประมาณ 30%
การเป็นพันธมิตรกับพรรค PAS: พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) มีอิทธิพลต่อ BRN เนื่องจากมีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันในภาคเหนือของมาเลเซีย
ฉะนั้นหาก NSC, PAS และ SBP ทำงานร่วมกัน อาจสามารถเข้าถึงผู้นำ BRN ตัวจริงได้มากถึง 50% หรือมากกว่า
อดีตนายกฯทักษิณ และนายกฯอันวาร์ ควรพิจารณาให้ทั้งสามฝ่าย คือ NSC, SBP และ PAS มีส่วนร่วมเพื่อให้เข้าถึงผู้นำ BRN ได้สูงสุดจริงๆ
4. ข้อจำกัดด้านภูมิภาคและเวลา
กำหนดเวลาการเป็นประธานอาเซียน: การที่มาเลเซียจะหมดวาระการเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ ทำให้ความสามารถในการนำกระบวนการเจรจาภายใต้กรอบของอาเซียนลดลง
คำมั่นหนึ่งปีของอดีตนายกฯทักษิณ: กรอบเวลาที่จำกัดนี้สร้างแรงกดดันให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของกระบวนการสันติภาพที่มักใช้เวลานาน
5. โครงสร้างข่าวกรองที่อ่อนแอ
- หน่วยข่าวกรองต่างประเทศของไทยไม่มีความสามารถในการติดต่อโดยตรงกับผู้นำ BRN
- อดีตนายกฯทักษิณไม่สามารถพึ่งพานายกฯอันวาร์หรือช่องทางไม่เป็นทางการเพียงอย่างเดียวได้ โดยปราศจากการจัดตั้งทีมเฉพาะด้านขึ้นมา
- ที่สำคัญที่สุดคือรัฐไทยไม่เคยมีหน่วยงานที่เข้าถึง BRN เพราะเป็นหน่วยแบบเปิด แต่ก็มีทีมงานลับที่สามารถเข้าถึง BRN เข้าถึงพรรค PAS และเข้าถึง SB ในลักษณะส่วนตัว และได้รับความไว้วางใจมาเป็นเวลานาน
หากสามารถบูรณาการให้ทั้ง 4 ส่วนทำงานร่วมกันในทางลับได้ ก็มีโอกาสเห็นผลภายในปีนี้