สถานการณ์ที่เรียกขานกันว่า “Diplomatic Shock” หรือ ภาวะช็อกทางการทูตของไทย ซึ่งเป็นผลสะเทือนจากปฏิบัติการส่งกลับอุยกูร์ และรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อนั้น
ทำให้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง มองลึกไปถึงแก่นของภาวะการณ์ “ภูมิรัฐศาสตร์โลก” ว่าน่าจะกำลังเผชิญโจทย์ใหม่ในบริบทของ 3 ฝ่าย คือ ไทย, สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หรือ อียู
โดยความสุ่มเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดคือ ไทยอาจสูญเสียความสำคัญในภูมิภาค ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งและความเชื่อมั่นเดิมๆ ของเรามาตลอด เพราะชาติตะวันตก(อาจไม่)จำเป็นต้องแคร์อีกต่อไปแล้ว
OO สหรัฐ-อียู-ไทย บนทางแพร่ง ! OO
เช้าวันเสาร์ที่ 15 มีนาคมนี้ ดูจะไม่เป็น “เสาร์สโมสร” สำหรับประเทศไทยเท่าใดนัก เพราะข่าวรุ่งอรุณของวันนี้ น่าจะเป็นการ “ช๊อก” สังคมการเมืองไทยอย่างมาก หรืออาจต้องเรียกว่าเป็น “Diplomatic Shock” ทางการทูตของไทย
เพราะรัฐบาลอเมริกันโดย นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศออกมาตรการในการจำกัดและควบคุมวีซ่าของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย
มาตรการเช่นนี้อาจมีนัยถึงการยกระดับให้เป็นการห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เพื่อตอบโต้กับการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับไปจีนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า รัฐบาลไทยไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน แม้ในช่วงรัฐประหารก็ตาม
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอเมริกันยังไม่ได้ออกประกาศถึงรายชื่อของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่จะถูกมาตรการจำกัดวีซ่าจากกรณีนี้ ซึ่งคงจะต้องติดตามต่อไป
ว่าที่จริงอาการ “ช๊อกทางการทูต” เช่นนี้ มีสัญญาณมาตั้งแต่วันพุธที่ 12 มีนาคม เมื่อรัฐสภายุโรป (EU Parliament) ได้ออกมติจากการประชุมสภาด้วยการประนามกรณีอุยกูร์ และยังรวมไปถึงการเรียกร้องในประเด็นเรื่องของกฎหมายมาตรา 112 และปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในการเมืองไทย
@@ อเมริกา-ยุโรป-ไทยในภูมิรัฐศาสตร์ใหม่
ปรากฏการณ์จากรัฐสภายุโรปและรัฐบาลอเมริกัน อาจทำให้เกิดข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1.อาจต้องยอมรับว่า ไทยไม่เคยเผชิญกับมาตรการทางการทูตในแบบเช่นนี้มาก่อน เพราะหากย้อนกลับไปในยุครัฐประหาร รัฐบาลประเทศตะวันตกก็ออกเพียงคำประณาม มากกว่าจะออกมาตรการจริงจังดังเช่นปัจจุบัน
2.การออกมาตราการดังกล่าว อาจกลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและผู้คนในสังคมไทยมีความรู้สึกต่อต้านตะวันตกมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามี “กระแสต้านตะวันตก” อยู่พอสมควร สิ่งที่เกิดจะยิ่งทำให้ความรู้สึก “นิยมจีน” มีมากขึ้นในสังคมไทย
3.การกดดันด้วยมาตรการเช่นนี้ จะทำให้เกิดผล “สวิง” ทางความรู้สึก โดยเฉพาะในหมู่ชาวอนุรักษ์นิยม ด้วยการพาไทยไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น เพราะผู้นำในสังคมอีกส่วนมองว่า จีนไม่เคยกดดันไทยในทางเปิดแบบที่ตะวันตกทำ เช่นตัวอย่างที่ผ่านมา จีนไม่เคยประณามไทยในช่วงรัฐประหาร เป็นต้น
4.น่าสนใจว่า การออกมาตรการของรัฐบาลอเมริกัน หรือคำประณามและข้อเรียกร้องของรัฐสภายุโรป เกิดในสภาวะที่การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค “อินโด-แปซิฟิก” กำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้น ที่รัฐบาลตะวันตกควรต้องแสวงหาพันธมิตรในภูมิภาคนี้ มากกว่าจะสร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลในพื้นที่
5.การออกมาตรการและคำประณามจะถือเป็นสัญญาณทางการเมืองได้หรือไม่ว่า รัฐบาลอเมริกันและรัฐบาลสหภาพยุโรป ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสำคัญของไทยในทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อาจจะเพราะมีคู่แข่งอื่นๆ ในภูมิภาคที่อาจจะน่าสนใจกว่าไทย
6.น่าสนใจในประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์อีกว่า ถ้าไทยในอนาคตจะเอียงไปหาจีนมากขึ้น ที่ไม่ใช่มาจากเงื่อนไขรัฐประหารเช่นในปี 2014 (รัฐประหาร 2557) แต่มาจากแรงกดดันของฝ่ายตะวันตกเอง รัฐบาลตะวันตกจะคิดอย่างไรผลสืบเนื่องทางยุทธศาสตร์เช่นนี้
7.วันนี้อาจต้องยอมรับว่า อเมริกา ยุโรป (อียู) และไทย ล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ พร้อมกับสภาพแวดล้อมทางการเมืองภายในใหม่ จึงน่าสนใจว่า ปฏิสัมพันธ์ของ 3 ส่วนนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด หรือเรากำลังเดินมาถึงจุด “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ที่สำคัญของการต่างประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยอาจต้องการการคิดและการกำหนดนโยบายใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้
8.ผู้คนในสังคมไทยหลายส่วนอาจมีความรู้สึกว่า รัฐบาลอเมริกัน “ไม่แฟร์” กับรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลทรัมป์เนรเทศผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากออกจากสหรัฐ และนโยบายเนรเทศมีความรุนแรงอย่างมากด้วย และมองไม่เห็นความชอบธรรมของรัฐบาลอเมริกันในกรณีนี้แต่อย่างใด หรือมองว่ารัฐบาลอเมริกันควรกดดันจีนในเรื่องนี้ ไม่ใช่มากดดันไทย เพราะไทยเป็นเพียง “คนกลางที่ถูกกดดัน” จากทุกฝ่าย
9.ในส่วนของรัฐสภายุโรป คนอีกส่วนในสังคมไทยมีทัศนะว่า กลุ่มการเมืองหรือองค์กรการเมืองบางส่วนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตัวแทนของสหภาพยุโรปในไทย จึงทำให้เกิดมุมมองว่า รัฐสภายุโรปให้น้ำหนักกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่าความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย กล่าวคือ อียูสามารถที่จะใช้มาตรการอื่นๆ ในการสะท้อนความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของไทยได้
10.ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปอาจทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมในสังคมไทยมองว่า สิ่งนี้เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และอาจมีแรงต้านในสังคมกับการแก้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้น
11.กระทรวงต่างประเทศไทยอาจต้องแถลงให้ชัดเจนว่า มีความจริงเพียงใดที่ไม่มีประเทศใดต้องการรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ หรือไทยได้รับความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งในปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการต่างประเทศอาจต้อง “แอคทีฟ” ในการชี้แจงให้มากขึ้น จะทำตัวเป็น “รัฐอัมพาต” ในแบบช่วงตากใบ คือ “ไม่พูด-ไม่ชี้แจง” ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะอาการรัฐอัมพาตจะทำให้ประเทศมีปัญหามากขึ้นในเวทีสากล
12.อาจต้องยอมรับว่า การส่งตัวดังกล่าวในทางการเมืองระหว่างประเทศนั้น เป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเวทีสากลอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้ใคร่ครวญกับปัญหานี้เพียงใด และต้องถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นคำเตือนในตัวเอง ให้รัฐบาลต้องคิดปัญหาการต่างประเทศและความมั่นคงด้วยความรอบคอบให้มากขึ้นในอนาคต
@@ ท้ายบท
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่า ไทยในบริบทของการต่างประเทศและความมั่นคงนั้น อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ที่ใหม่ทั้งเวทีสากล เวทีในบ้าน ตลอดรวมถึงตัวบุคคลที่ต้องรับผิดชอบงานในงานนี้
ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความท้าทายอย่างสำคัญที่รัฐบาลแพทองธารต้องตระหนักและใคร่ครวญ และจะปล่อยให้ปัญหาเช่นนี้ลากประเทศไทยไปเรื่อยไม่ได้
เพราะการถูกลากด้วยปัญหาเช่นนี้จะทำลาย “soft power” ของประเทศโดยตรง!