"...จะพบว่าเวนิสมีสัญญาณเริ่มจมน้ำตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ จะเห็นได้จากในช่วงเวลาที่น้ำทะเลขึ้น ที่ทำให้บริเวณจัตุรัสซานมาร์โคที่มีน้ำซึมขึ้นมา อีกทั้งยังมีระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้น 1-2 มิลลิเมตรในทุก ๆ ปี และภาวะโลกรวนที่เป็นสาเหตุทำให้เมืองเวนิสจมน้ำในอนาคต..."
‘เวนิสจะจมน้ำในอีกไม่กี่ร้อยปี’ ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ในปี 2567 แต่เป็นข้อมูลที่รับรู้กันโดยทั่วไป เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและภาวะโลกรวน หรือ climate change
อีกทั้งยังต้องเผชิญปรากฏการณ์ ‘อัควา อัลตา’ (Acqua Alta) หรือการยกตัวของน้ำทะเล ซึ่งเกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม ของทุกปี ที่จะทำให้พื้นที่ต่ำของเมืองน้ำท่วมอีกด้วย ซึ่งทางรัฐบาลกลางของอิตาลีดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วมเวนิสด้วยระบบ MOSE ที่สร้างแบริเออร์เปิด-ปิดได้ไว้ใต้น้ำตามแนวช่องทางน้ำเข้า เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงก็จะยกแบริเออร์ขึ้น เพื่อป้องกันน้ำจากทะเลเอเดรียติกเข้าสู่ทะเลสาบเวเนเทีย (Venetian Lagoon) และเมื่อระดับน้ำลดลงก็ลดแบริเออร์
นอกจากนี้เมื่อเดือน พ.ค. 2567 euronews รายงานว่า ผลการวิจัยใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีประเมินว่าบางส่วนของเมืองเวนิสจะจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2150 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันธรณีฟิสิกส์และภูเขาไฟแห่งชาติ (National Institute of Geophysics and Volcanology : INGV) ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล
แล้วสภาพเวนิสในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 2567 สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับโอกาสเดินทางไปยังเวนิส จึงสำรวจสภาพเมืองเวนิสมารายงานให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน
เวนิส หรือเวเนเซีย (Venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโตทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ที่ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะ เชื่อมต่อกันด้วยสะพานกว่า 400 สะพาน โดยมีคลองขนาดใหญ่ หรือ Grand Canal ไหลผ่านกลางแคว้น มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น มหาวิหารซานมาร์โก (Basilica di San Marco) พระราชวังปาลัซโซดูคาเล (Palazzo Ducale) จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค (Torre dell'Orologio) เป็นต้น
ภาพ Grand Canal ซึ่งเป็นคลองสายหลักของเวนิส ถ่ายจากบนสะพานสะพานริอัลโต
ภาพ หอนาฬิกาเซนต์มาร์คบริเวณจัตุรัสซานมาร์โค
ภาพจัตุรัสซานมาร์โคและมหาวิหารซานมาร์โกที่มีการปิดซ่อมแซมบางส่วน
ภาพพระราชวังปาลัซโซดูคาเลที่อยู่ใกล้ ๆ กับจัตุรัสซานมาร์โคและท่าเรือ
ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลขึ้นบริเวณจัตุรัสซานมาร์โคจะมีน้ำซึมขึ้นมาจนกลายเป็นแอ่งน้ำเป็นแห่ง ๆ กระจายไปทั่วจัตุรัส เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำของเวนิส ส่วนบริเวณท่าเรือที่ติดกับทะเลสาบเวเนเทียจะมีน้ำท่วมเล็กน้อย
ภาพจัตุรัสซานมาร์โคที่มีน้ำซึมขึ้นมาจากพื้น
ภาพท่าจอดเรือที่ถูกน้ำจากทะเลสาบท่วมเล็กน้อย
การเดินทางในเวนิสจะใช้การเดินเท้า และการเดินทางทางน้ำเป็นหลัก และไม่พบการใช้รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์แต่อย่างใด เนื่องจากถนนในเมืองมีขนาดเล็กและแคบ
ภาพถนน (ทางเดิน) ในเมืองเวนิส
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้นั่งเรือกอนโดลา (Gondola) ชมเมืองเวนิส พบว่าอาคารบ้านเรือนของเวนิสค่อนข้างเก่า มีหน้าบ้าน (บางหลัง) ติดริมน้ำ และหลังบ้านเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ (ทางเดิน) อีกทั้งร้านค้าบางแห่งมีทางเข้าอยู่ริมน้ำ และจากการสอบถามคนพายเรือเกี่ยวกับระดับน้ำสูงสุดของเวนิส ได้รับคำตอบว่าในช่วงเดือนต.ค. เป็นช่วงที่เวนิสมีระดับน้ำสูงสุดของทุกปี โดยจะสังเกตได้จากตะใคร่น้ำสีเขียวที่ขึ้นตามสิ่งปลูกสร้าง
ภาพเมืองเวนิสจากการนั่งเรือกอนโดลา
นอกจากนี้บริเวณใกล้ ๆ กับสะพานริอัลโตยังมีตลาดขายสินค้าต่าง ๆ เช่น ผักสด ผลไม้ และอาหารทะเล ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวเดินไปยังตลาดในช่วงเวลาประมาณ 7.00 น. จึงยังมีร้านค้าจำนวนมากที่ยังไม่เปิดขายสินค้า
ภาพร้านค้าบริเวณตลาดใกล้ ๆ กับสะพานริอัลโต
*******
เหล่านี้ คือ ภาพจากเวนิสที่ผู้สื่อข่าวนำมารายงานพบว่าเวนิสมีสัญญาณเริ่มจมน้ำตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ เห็นได้จากในช่วงเวลาที่น้ำทะเลขึ้น ที่ทำให้บริเวณจัตุรัสซานมาร์โคที่มีน้ำซึมขึ้นมา อีกทั้งยังมีระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้น 1-2 มิลลิเมตรในทุก ๆ ปี และภาวะโลกรวนที่เป็นสาเหตุทำให้เมืองเวนิสจมน้ำในอนาคต
ย้อนกลับมาที่เมืองไทย เมืองหลวงและหลายเมืองมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ติดทะเล แม่น้ำ น่าจะเรียนรู้เอาไว้ ?