"...จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรอิสระกรณีรับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า นั้นคำว่า "อธิบดี" เป็นตำแหน่งที่ใช้เรียกผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่เรียกว่า "กรม" อันเป็นการจัดโครงสร้างตามระเบียบราชการของฝ่ายบริหารตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มิได้หมายความถึงตำแหน่งอธิบดีของข้าราชการฝ่ายตุลาการ ซึ่งแม้ว่าจะมีตำแหน่งที่เรียกว่า "อธิบดี" ในโครงสร้างของข้าราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรมก็ตาม ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2567 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาตัดสินให้ นายอาคม รุ่งแจ้ง บุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอชื่อเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ที่แม้จะเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 รวมระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรอิสระกรณีรับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า นั้น คำว่า "อธิบดี" เป็นตำแหน่งที่ใช้เรียกผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่เรียกว่า "กรม" อันเป็นการจัดโครงสร้างตามระเบียบราชการของฝ่ายบริหารตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มิได้หมายความถึงตำแหน่งอธิบดีของข้าราชการฝ่ายตุลาการ ซึ่งแม้ว่าจะมีตำแหน่งที่เรียกว่า "อธิบดี" ในโครงสร้างของข้าราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรมก็ตาม
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีนี้ ของ ศาลปกครองสูงสุด
********
เรื่อง คดีที่มีกฏหมายกำหนดให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองสูงสุด
ระหว่าง
คณะกรรมการสรรหาตลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธธรรมนูญ เป็นผู้ร้อง
นายอาคม รุ่งแจ้ง บุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอชื่อให้เป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ถูกร้อง
@ จุดเริ่มต้นคดี-คำร้อง
คดีนี้ผู้ร้องร้องว่า นาธนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 และนายปัญญา อุดชาชน ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ และบุคคลซึ่งองค์กรอิสระ (ประกอบด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 และมาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลหรือองค์กรอิสระ องค์กรละหนึ่งคน ร่วมเป็นกรรมการเพื่อทำหน้าที่สรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ต่อมา ในคราวประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ประชุมได้รับทราบรายชื่อและประวัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากองค์กรอิสระแล้วมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดว่ารับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือไม่
เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีหนังสือลงวันที่ 2 กันยายน 2567 แจ้งว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อ ผู้ถูกร้องเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยผู้ถูกร้องได้เสนอแบบประวัติของบุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ระบุว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 (5) และมาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ โดยผู้ถูกร้องเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 รวมระยะเวลา 5 ปี
ในการนี้ เพื่อให้การทำหน้าที่สรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของผู้ร้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบและมีความสมบูรณ์ ตามมาตรา 14 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 25661 ผู้ร้องจึงได้พิจารณาและมีมติให้มีหนังสือมายังศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้ถูกร้องผู้ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่า การที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 จะถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 หรือไม่อย่างไร
จึงนำคดีมาร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 38 กันยายน 2567 ขอให้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้ถูกร้องผู้ใด้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ด้วยคดีนี้ มีกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 14 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ประธานศาลปกครองสูงสุด จึงมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยเร่งด่วนตามมาตรา 59 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองสูงสุด และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับข้อ 49/2 และข้อ 98 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2553
@ คำชี้แจ้ง ผู้ถูกร้อง
ขณะที่ ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ผู้ถูกร้องเป็นบุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอชื่อให้เป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยผู้ถูกร้องรับราชการเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ต่อมา ได้ลาออกจากราชการตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรรม ที่ 1037/25267 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นต้นไป
สำหรับคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเคยรับราชการในตำแหน่งอธิบดีมาแล้วห้าปีตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 นั้น มีเจตนารมณ์ที่ต้องการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิผู้ที่เคยรับราชการในตำแหน่งอธิบดีมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งอธิบดีครั้งแรกในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 ระยะเวลา 1 ปี
ต่อมา ผู้ถูกร้องได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลอุทธรณ์ ภาค 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 ระยะเวลา 2 ปี ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 ระยะเวลา 1 ปี.ดำรงตำแหน่งรองประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 ระยะเวลา 1 ปี ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ระยะเวลา 2 ปี ดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 ระยะเวลา 2 ปี ตำแหน่งประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 เป็นตำแหน่งสุดท้าย ซึ่งนับแต่ผู้ถูกร้องได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ในครั้งแรก ผู้ถูกร้องก็ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร เป็นผู้บังคับบัญชา และบริหารงานบุคคล และบริหารงบประมาณของศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอุทธรณ์ ภาค 8 มาโดยตลอด ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องการคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์บังคับบัญชาและบริหารงานบุคคลและบริหารงบประมาณในระดับไม่ต่ำกว่าอธิบดีมาแล้ว
ผู้ถูกร้อง จึงเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตรวจสอบทะเบียนประวัติการรับราชการตุลาการของผู้ถูกร้องแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้มาแล้ว 3 ปี และเคยดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดีมาแล้ว 2 ปี รวมระยะเวลาเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีมาแล้ว 5 ปี ผู้ถูกร้องจึงได้กรอกแบบข้อมูลประวัติบุคคลซึ่งองค์กรอิสระ (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) แต่งตั้งให้เป็นศาลปกครองสูงสุดคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 8 (5) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีไม่น้อยกว่า 5 ปี
เลขาธิการวุฒิสภาในฐานะเลขานุการผู้ร้อง และหรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาซึ่งปฏิบัติหน้าที่หน่วยธุรการของผู้ร้อง ไม่น่าจะมีอำนาจถึงขนาดพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถูกร้องและทำความเห็นเสนอผู้ร้อง ขัดหรือแย้งกับคณะกรรมการการเลือกตั้งที่กระทำในรูปองค์คณะซึ่งได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ถูกร้องและเสนอชื่อผู้ถูกร้องเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะผู้แทนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภากลับกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของตนด้วยการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถูกร้องว่า เป็นอธิบดีที่ไม่ใช่หัวหน้าส่วนราชการ จึงเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เสนอต่อเลขานุการคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนั้น ยังตีความไม่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย กล่าวคือ มาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญข้างต้น มีเจตนารมณ์ต้องการสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติอยู่ 3 กรณี คือ (1) บุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือ (2) หัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี หรือ (3) ตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุด มาแล้ว ไม่น้อยกว่าห้าปี โดยคำว่าหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า คือ เทียบเท่าอธิบดี หากเป็นข้าราชการพลเรือนจะต้องระดับกรม เช่น อธิการบดีมหาวิทยาลัย เป็นหัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่ากรม ก็คืออธิบดี แต่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับตีความคำว่า "อธิบดี" จะต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการเท่านั้น จึงจะเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ทั้งยังมีการเสนอให้ผู้ถูกร้องถอนตัวจากการเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถึง 2 ครั้ง โดยไม่สนใจว่าผู้ถูกร้องถูกเสนอชื่อโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งต่างก็เป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการทำงานสูง ซึ่งจะต้องพิจารณาทะเบียนประวัติการรับราชการของผู้ถูกร้องอย่างละเอียดรอบคอบ เคร่งครัด เป็นไปตามกฎหมาย
ประกอบกับผู้ถูกร้องเคยผ่านการตรวจคุณสมบัติว่าเป็นบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีมาแล้วห้าปี จากคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงเสนอรายชื่อผู้ถูกร้องเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ เจตนารมณ์ของรัฐธรรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดคุณสมบัติการรับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี โดยมิได้กำหนดให้ส่วนราชการนั้นต้องเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใดบทบัญญัติดังกล่าวมุ่งหมายเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี เช่น ปลัดกระทรวง เป็นหัวหน้าส่วนราชการกระทรวง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด หรือเอกอัครราชทูตซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการในต่างประเทศ
แต่มิได้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งอื่นซึ่งแม้จะมีระดับเทียบได้ระดับเดียวกันกับอธิบดีซึ่งมิได้เป็นหัวหน้าส่วนราชการนั้น เช่น รองหัวหน้าส่วนราชการที่มีหัวหน้าส่วนราชการเทียบได้กับปลัดกระทรวง และรองหัวหน้าส่วนราชการนั้นมีระดับตำแหน่งเทียบได้กับอธิบดี เช่น รองปลัดกระทรวง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นต้น
ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดีเพราะมิได้เป็นหัวหน้าส่วนราชการ การกำหนดให้ต้องมีฐานะอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดียังมีความมุ่งหมายในเรื่องการเป็นผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ในการบังคับบัญชา และบริหารงานบุคคล และบริหารงานงบประมาณ ระดับไม่ต่ำกว่าอธิบดีมาแล้วในระยะเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี โดยไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งต่อเนื่องหรืองหรือต่อกัน
การที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเห็นว่า ผู้ถูกร้องซึ่งเคยตำรงตำแหน่งอธิบดีมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี แต่ไม่ใช่อธิบดีที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนผู้ถูกร้องเป็นอธิบดีโดยตำแหน่ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำตำแหน่งของผู้ถูกร้องมาเปรียบเทียบหรือเทียบเคียงตำแหน่งอื่นอีก
ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
@ คำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุด แสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567
นางธัญญา ศรีสุพรรณ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเลขาธิการวุฒิสภาผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องยื่นคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลว่า เนื่องจากนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง และนายปัญญา อุดชาชน จะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 และวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ตามลำดับ จึงต้องมีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แทนตำแหน่งที่ว่าง
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จึงได้มีหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ ให้เสนอชื่อตัวแทนองค์กรอิสระเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองตำแหน่งที่ว่างในครั้งนี้
ต่อมา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีหนังสือลงวันที่ 2 กันยายน 2567 เสนอชื่อผู้ถูกร้องพร้อมแบบข้อมูลประวัติของบุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 8 (5) ซึ่งแบบข้อมูลประวัติดังกล่าว สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเป็นผู้จัดทำและส่งให้กับองค์กรอิสระตามรัฐธธรรมนูญดังกล่าวกรอกข้อมูลประวัติของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ
โดยในแบบข้อมูลประวัติของผู้ถูกร้องระบุว่า ผู้ถูกร้องเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาพิจารณาจากแบบข้อมูลประวัติดังกล่าวแล้วเห็นว่า โดยจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี นั้น มุ่งหมายให้เป็นบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริง โดยมุ่งเน้นความเป็นหัวหน้าส่วนราชการเนื่องจากเป็นผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการบังคับบัญชา บริหารงาน บริหารบุคคล และบริหารงบประมาณ
แต่ไม่รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งอื่นซึ่งแม้จะมีระดับตำแหน่งเทียบได้ระดับเดียวกับอธิบดี แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้าส่วนราชการนั้น และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเคยมีหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อขอทราบเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ชี้แจงไว้ว่า ที่กำหนดให้คุณสมบัติของคณะกรรมการสรรหาจะต้องรับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
มีความมุ่งหมายถึงอธิบดีของส่วนราชการพลเรือน และผู้ที่ดำรงคำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบได้กับอธิบดีดังกล่าว โดยมิได้มุ่งหมายถึงตำแหน่งที่เรียกว่าอธิบดีในราชการฝ่ายตุลาการหรือฝ้ายอัยการ
เพราะในกรณีที่มุ่งหมายถึงอธิบดีของราชการฝ่ายตุลาการหรือฝ่ายอัยการ ก็จะระบุไว้ชัดเจนดังเช่นที่ปรากฏในมาตรา 236 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปรากฏตามหนังสือ ด่วน ที่ (รธน) 179/2561 ลงวันที่ 5 กันยายน 2561
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจึงได้เสนอความเห็นดังกล่าวให้ผู้ร้องพิจารณา ผู้ร้องได้พิจารณาแล้วมีมติให้เสนอศาลปกครองสูงสุดเป็นผู้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว
อีกทั้ง ในการประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง ในคราวประชุม ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ได้มีมติวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติการรับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งผู้สมัครเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลอุทธรณ์ ภาค 1 รองประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ผู้พิพากษาศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา นั้น
เป็นเพียงตำแหน่งที่เทียบเท่านักบริหารระดับสูงหรือเทียบเท่าอธิบดี แต่มิใช่หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรม
ดังนั้น จึงเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติกรณีรับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี ตามมาตรา 8 (1) (ก) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560
@ ผู้ถูกร้องให้ถ้อยคำ ได้รับการทาบทามจาก กกต.
ผู้ถูกร้องให้ถ้อยคำต่อศาลว่า ในการรับสมัครเป็นคณะกรรมการสรรหาตุหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะเป็นตัวแทนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง นั้น ไม่มีการเปิดรับสมัครโดยทั่วไป
แต่ผู้ถูกร้องใด้รับการทาบทานจากบุคคลในคณะกรรมการการเลือกตั้งให้มาสมัครเป็นตัวแทน โดยได้มีการสอบถามจากผู้ที่มาประสานงานติดต่อแล้วได้ทราบว่า คุณสมบัติต้องมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี ซึ่งผู้ถูกร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ 3 ปี เป็นประธาน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 2 ปี ซึ่งตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค 8 นั้น เดิมทีเรียกตำแหน่งอธิบดีศาลอุทธรณ์ ภาค 8
ดังนั้น ผู้ถูกร้องจึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครและได้รับเลือกเป็นตัวแทนของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะมีตำแหน่งเป็นตำแหน่งอธิบดี และตำแหน่งอธิบดีทั้งสองตำแหน่งดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลที่บังคับบัญชาและเลื่อนขั้นให้แก่บุคลากรในสำนักงาน รวมทั้งมีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างบางประการด้วย
นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องเคยสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งในการสมัครดังกล่าวผู้ถูกร้องได้ใช้คุณสมบัติเดียวกันกับที่สมัครเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยได้สมัครในปี พ.ศ. 2567 ในรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันกับการเป็นคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ว่าที่ร้อยตรี สัมพันธ์ แสงคำเลิศ ผู้รับมอบอำนาจของประธานกรรมกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลว่า เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาว่า ต้องมีการสรรหาตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้งไปเป็นคณะกรรมการการคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรรมนูญ เนื่องจากมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพ้นตำแหน่ง 2 ท่าน จะครบวาระในระยะเวลาใกล้เคียงกัน จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับหนังสือดังกล่าวจึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งทุกคนเพื่อให้มีการเสนอรายชื่อและเมื่อมีการเสนอรายชื่อจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้วสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติตามที่ได้ให้บุคคลผู้จะได้รับการคัดเลือกดังกล่าวกรอกแบบข้อมูลคุณสมบัติรายละเอียด โดยตรวจดูว่ามีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่
มีผู้ถูกร้องคือ นายอาคม รุ่งแจ้ง เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาคุณสมบัติของผู้ถูกร้องแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องมีประสบการณ์การรับราชการตามที่ได้แจ้งมาในแบบข้อมูลประวัติว่า เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีบพิพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ภาค 8 ซึ่งแม้จะมีระยะเวลาไม่ติดต่อกันแต่กฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้ แต่รวมระยะเวลาแล้วเป็นระยะเวลาในตำแหน่งอธิบดีทั้งสิ้น 5 ปี
ดังนั้น เมื่อพิจารณาในมาตรา 8 (5) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีมติเห็นชอบให้เสนอชื่อนายอาคม รุ่งแจ้ง ผู้ถูกร้อง เป็นตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้งในคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอชื่อผู้ถูกร้องไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแล้ว สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้มีการแจ้งด้วยวาจาว่า บุคคลที่เสนอชื่ออาจจะไม่มีคุณสมบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย แต่สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ยืนยันว่า จากบทบัญญัติของกฎหมายระบุแต่เพียงว่า ตำแหน่งอธิบดี ดังนั้น เมื่อผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งอธิบดีแล้วจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องแล้ว
@ ตรวจพิจารณาพยานหลักฐาน
ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวน และคำชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์เป็นหนังสือของตุลาการผู้แถลงคดี
ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในคำร้อง คำชี้แจงและพยานหลักฐานอื่นจากการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลแล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 และนายปัญญา อุดชาชม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ้ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ และบุคคลซึ่งองค์กรอิสระ (ประกอบด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 และมาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญข้างต้น และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลหรือองค์กรอิสระ องค์กรละหนึ่งคนร่วมเป็นกรรมการเพื่อทำหน้าที่สรรหาผู้สมควรใต้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ต่อมา ในคราวประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ซึ่งคณะกรรมการประกอบด้วยคณะกรรมการโดยตำแหน่งและคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรอิสระทุกองค์กร ที่ประชุมได้รับทราบรายชื่อและประวัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้วมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ถูกร้องที่ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดว่ารับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือไม่
เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีหนังสือลงวันที่ 2 กันยายน 2567 แจ้งว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อผู้ถูกร้องเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยผู้ถูกร้องได้เสนอแบบประวัติของบุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ระบุว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 (5) และมาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญหรืองค์กรอิสระ และระบุตำแหน่งและระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญข้างดัน ดังนี้
1. อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพให้ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 เป็นระยะเวลา 1 ปี
2. อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นระยะเวลา 2 ปี
และ 3. ประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 เป็นระยะเวลา 2 ปี
รวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทั้งสิ้น 5 ปี
ที่ประชุมผู้ร้องเห็นว่าเพื่อให้การทำหน้าที่สรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของผู้ร้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ และมีความสมบูรณ์ จึงได้พิจารณาและมีมติให้มีหนังสือมายังศาลปกครองสูงสุด ตามมาตรา 14 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศารรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้ถูกร้อง ผู้ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่า การที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 จะถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 หรือไม่ อย่างไร และนำคดีมายื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567
@ ชี้ขาดนั่งอธิบดีศาล 5 ปี เป็น กก.สรรหาตุลาการศาล รธน.ไม่ได้
ศาลปกครองสูงสุด ได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวขัองประกอบด้วยแล้ว
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องมีคุณสมบัติเป็นกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2563 หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการตามมาตรา 8 (3) (4) หรือ (5) ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย (1) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ (2) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ (3) ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นกรรมการ (4) บุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 และมาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลหรือองค์กรอิสระองค์กรละหนึ่งคน เป็นกรรมการ มาตรา 8 บัญญัติว่า ศาลประกอบด้วยตุลาการจำนวนเก้าคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้ (1) ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสามคน ... (5) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ากว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนสองคน
จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรอิสระกรณีรับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า นั้นคำว่า "อธิบดี" เป็นตำแหน่งที่ใช้เรียกผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่เรียกว่า "กรม" อันเป็นการจัดโครงสร้างตามระเบียบราชการของฝ่ายบริหารตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มิได้หมายความถึงตำแหน่งอธิบดีของข้าราชการฝ่ายตุลาการ ซึ่งแม้ว่าจะมีตำแหน่งที่เรียกว่า "อธิบดี" ในโครงสร้างของข้าราชการฝ่ายตุลาการของศาลยุติธรรมก็ตาม
แต่ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษา มิได้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับตำแหน่งอธิบดีของข้าราชการพลเรือน ดังนั้น คำว่า"อธิบดี" ตามบทบัญญัติในมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จึงมีเจตนามุ่งหมายให้คำว่า "อธิบดี" หมายถึง อธิบดีหรือหัวหน้า ส่วนราชการที่เทียบเท่าของข้าราชการในฝ่ายบริหารเท่านั้น อีกทั้ง ตำแหน่งอธิบดีในโครงสร้างของข้าราชการฝ่ายตลาการในศาลยุติธรรมก็มิใช่หัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า การดำรงตำแหน่งดังกล่าวจึงเป็นเพียงตำแหน่งแต่มิใช่หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรม
นอกจากนี้ ตามมาตรา 8 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งจากองค์กรอิสระให้เป็นคณะกรรมการสรรหาตลาการศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่ง
จึงเห็นได้ว่า บทบัญญัติตามมาตรา 8 (5) มิได้มุ่งหมายถึงอธิบดีในราชการฝ้ายตุลาการ เพราะในกรณีที่มุ่งหมายถึงอธิบดีของข้าราชการฝ่ายตุลาการ ก็จะระบุไว้อย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 8 รวมระยะเวลา 5 ปี ดังกล่าว จึงมิใช่การดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือหัวหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งเป็นคุณสมบัติของกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธธรรมนูญตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561
พิพากษาให้ผู้ถูกร้องเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการสรรหาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
**********
นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ สำหรับคุณสมบัติของกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ที่ต้องบันทึกเอาไว้