ตำรวจกองปราบฯ ส่งทีมปูพรมล่าตัว 'ประสิทธิ์ เจียวก๊ก' ยันยังไม่พบความเชื่อมโยงนักการเมืองดัง
---------------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรยางานความคืบหน้า กรณีตำรวจกองปราบสนธิกำลังร่วมกับ บก.ปอศ. และ บก.ปอท. เปิดปฏิบัติการปิดเกมส์ คนเหนือโลก บุกทลายเครือข่ายของ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน หลังร่วมกับพวกเปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกนักลงทุนหลายรูปแบบ อ้างจะได้รับผลตอบแทนสูง จนสามารถติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้แล้ว 4 คน ประกอบด้วย พ.ท.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข อายุ 34 ปี ประธานโครงการเที่ยวเพื่อชาติ , น.ส.ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม อายุ 33 ปี น.ส.สิริมา เนาวรัตน์ อายุ 37 ปี และนายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ อายุ 40 ปี คงเหลือ นายประสิทธิ์ หัวหน้าขบวนการ กับ นายกิตติศักดิ์ เย็นนานนทน์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือ ที่ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ตามที่เคยนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
(ข่าวประกอบ : พลิก 10 ธุรกิจ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’กก.-ถือหุ้น ก่อนหลบหนีคดีถูกกล่าวหาฉ้อโกงพันล.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2564 พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. กล่าวว่า แม้จะสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้วจำนวนหนึ่ง แต่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนก็ยังคงต้องดำเนินการต่อไป เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้สำนวนมีความแน่นหนามากขึ้น เนื่องจากคดีดังกล่าวมีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง รวมถึงมีผู้เสียหายจำนวนมาก และอยู่ในความสนใจของประชาชน ในส่วนของผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 คน ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการติดต่อขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด เบื้องต้นจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. กระจายกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสเป็นการด่วน ตรวจสอบทุกข้อมูลเบาะแสที่มี เพื่อเร่งจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำพยานและผู้เสียหายไปแล้ว 100 กว่าคน ทั้งหมดให้การไปในทิศทางเดียวกันว่าบริษัทดังกล่าวไม่จ่ายผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ทั้ง 5 รูปแบบการลงทุน อย่างไรก็ตามยังคงเหลือผู้เสียหายที่ยังไม่ได้สอบปากคำอีกหลายร้อยคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด จึงอาจต้องทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้จัดตั้งคณะทำงานใหญ่ขึ้นมาเพื่อมาดูแลคดีดังกล่าวและรวบรวมโอนสำนวนคดีทั้งหมดโดยเป็นการสอบปากคำจากในแต่ละพื้นที่เข้ามาที่ส่วนกลางให้เกิดความรวดเร็วในการทำสำนวนคดี คาดว่าในสัปดาห์หน้าน่าจะทราบผล
เมื่อถามว่ากรณีที่มีภาพข่าวปรากฏว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปปรากฏตัวเป็นประธานในงานเปิดตัวธุรกิจของกลุ่มบริษัทเครือข่ายผู้ต้องหาหลายครั้ง พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ขั้นตอนสืบสวนสอบสวนยังไปไม่ถึงข้อมูลตรงนั้น เนื่องจากต้องรอสอบปากคำผู้เสียหายในคดีให้ได้ครบทั้งหมดก่อน และต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสารที่สามารถรวบรวมได้จากการเข้าตรวจค้นทั้ง 9 จุด ว่า พบความเชื่อมโยงหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ ณ ตอนนี้ ยังไม่พบความเชื่อมโยง หรือ มีใครให้การซัดทอดไปถึงบุคคลที่ปรากฏตามภาพข่าว แต่หากหลังการสอบปากคำหรือตรวจสอบพยานหลักฐานครบถ้วนแล้วพบข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงก็อาจจะต้องออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า การเข้าทลายเครือข่ายธุรกิจดังกล่าว ตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจนอีกครั้งการสอบปากคำผู้เสียหายรวมถึงการตรวจสอบธุรกิจทั้งหมดของเครือข่ายนี้พบว่าไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าตอบแทนให้กับกลุ่มเครือข่ายได้ตามที่สัญญาไว้อย่างแน่นอน จึงเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชน และต้องรีบดำเนินการติดตามทรัพย์สินทั้งหมดมาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ยืนยันว่าไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือ ทำคดีตามใบสั่งใคร ทำตามกรอบเกณฑ์กฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความที่ บก.ปอศ. ดีเอสไอ และหน่วยงานต่างๆหลายแห่ง ทาง บช.ก. จึงสั่งให้รวบรวมคดีมาไว้ที่กองบังคับการปราบปราม พร้อมกับจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันขึ้นมาเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนนำมาสู้การออกหมายจับผู้กระทำผิด
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการติดตามตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 ราย ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวมีการแบ่งกำลังออกเป็นหลายส่วน ลงพื้นที่สืบหาเบาะแสพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณบ้านพักอาศัยในกลุ่มเครือญาติผู้ต้องหา รวมไปถึงนายทหาร ข้าราชการระดับสูงหลายคน ที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน สนิทมักคุ้น เพราะยังเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศ ขณะที่ในส่วนของการตรวจสอบเส้นทางการเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบ เพื่อดูว่ามีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปอยู่ที่ผู้ใดบ้าง โดยมีกองปราบปราม ช่วยสืบสวนเรื่องเส้นทางการเงินด้วยอีกส่วนหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากแนวทางสืบสวนพบขบวนการดังกล่าวยังมีธุรกิจและโครงการต่างๆ อีกหลายประเภท ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นโครงการแอพพลิเคชั่นด้านการจราจรและแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายที่ทำร่วมกับตำรวจ หรือ m help me ซึ่งพบว่ามีการเทคโอเวอร์มาจากบริษัทในประเทศจีน แต่เนื่องจากโครงการนี้ ไม่ได้ถูกนำไปเสนอขายทางธุรกิจให้กับเหยื่อ จึงยังไม่พบความผิดที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลงทุนดังกล่าว
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage