'ณัฐชา' ส.ส.ก้าวไกล เปิดปฏิบัติการ 'ไอโอ' ภาค 2 แฉจัดตั้งฝ่ายขาว-ดำ ปั่นข้อความ 54,800 บัญชี พร้อมเปิดคลิปรายการทีวีกรมประชาฯ ขณะที่ 'พล.อ.ชัยชาญ' ยันแค่ทำพีอาร์กองทัพ ปัดสร้างความเกลียดชัง ขณะที 'โรม' ซักฟอก 'บิ๊กป้อม' นั่งหัวโต๊ะ ก.ตร. แต่งตั้งตำรวจไม่เป็นธรรม ยกตัวอย่าง พล.ต.ท. 'ต.' ก่อน ส.ส.รัฐบาลประท้วงจนวุ่น
.....................................................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2564 ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 4
@ปฏิบัติการ 'ไอโอ' ภาค 2 ปั่นข้อความ 58,400 บัญชี
โดยตั้งแต่เวลา 09.00 น. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ ไอโอ ซึ่งเริ่มจากการเปิดคลิปวีดีโอ ที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์การประชุมออนไลน์ของ ม.ทบ.ที่ 21 ซึ่งมีเนื้อหาตอนหนึ่งอ้างว่าเป็นเหตุการณ์วันที่ 17 ก.พ.2563 เกิดขึ้นก่อน 4 วันก่อนที่ศาลสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนี้ได้สั่งการให้เตรียมการรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเอกสารหลุดจากกองทัพอีกครั้ง ว่าด้วยการทำไอโอ มีการแบ่งทีมฝ่ายขาว คอยประชาสัมพันธ์ให้กับกองทัพ ส่วนฝ่ายดำเน้นโจมตี และใส่ข้อความกล่าวหา ฝตข. หรือ ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคือประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือพรรคฝ่ายค้าน ทั้งนี้มีกลไกสั่งการ 2 แอปพลิเคชัน ชื่อ twitter broadcast ใช้ในระดับสั่งการ ใช้ในการปั่นแท็ก ทวิตข้อความเป็นร้อยเป็นพันข้อความได้ หมายความว่า 1 แอคเคาท์ สามารถโพสต์ครั้งเดียวได้เป็นร้อยเป็นพันยูสเซอร์ ส่วน free messenger ทำงานเหมือนแอปพลิเคชั่นไลน์ แต่มีระดับชั้นป้องกันการแคปหน้าจอ ทั้งนี้มีหน่วยงานที่ใช้งานไปแล้ว โดยกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าต้องมียอดบัญชีไอโอทั้งหมด 54,800 บัญชี ผ่านการควบคุมของกองทัพทั้งสิ้น 19 หน่วยงาน
“ยังไม่ต้องตกใจครับ 58,400 บัญชีไอโอ เป็นบัญชีที่คอยชื่นชมการทำงานท่านนายกฯ อาจจะเป็นคนไม่กี่คน เพราะเขาใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ผมกล่าวไปข้างต้น” นายณัฐชา
@อัดกรมประชาฯจัดรายการโจมตีฝ่ายตรงข้าม
นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นยังพบว่าอีกกิ่งก้านสาขาปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ใช้บุคลากรของรัฐไปมากมายคือ กรมประชาสัมพันธ์ มีการแถลงนโยบายผลงาน 1 ปี ภายใต้งบประมาณ 2,867.18 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางข่าวจริงประเทศไทย แต่กลับเกิดเรื่องที่ผลิตวาทกรรมสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ยกตัวอย่าง รายการคุยถึงแก่นของกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อได้ถอดเทปตลอดเดือน ม.ค.2564 พบรายการ 2 ชั่วโมง มีสัดส่วน 40 นาทีที่มีเนื้อหาโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ยังพบศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารภายใต้ภาษีประชาชน น่าจะขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่มีการทวิตข้อความสร้างความเกลียดชัง ด้อยค่าประชาชน โจมตีผู้เห็นต่าง
“วันก่อนนายกรัฐมนตรี ได้ร่ายกลอนทำให้เกิดความไม่สบาย ผมเลยเตรียมการอภิปราย ขอฝากกลอนไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่า ทุกวันนี้ศึกไกลไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงทหารไทย ไล่ข่มเหง เป็นไอโอยุแยกแตกกันเอง รั้วของชาติมาข่มเหงประชาชน ฝากให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนและยุติพฤติกรรมเหล่านี้” นายณัฐชา กล่าว
@ 'บิ๊กช้าง'ปัดใช้โซเชียลสร้างความเกลียดชัด แค่ทำพีอาร์กองทัพ
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมไม่ได้มีนโยบายสั่งการให้หน่วยใดๆ ไปทำลักษณะไปให้ร้ายบุคคลอื่นๆ แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันในโซเชียลมีเดียมีข้อความที่ไม่ถูกต้อง เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเกลียดชัง แตกแยก กระทบต่อความสงบอันดีเกิดขึ้น และปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้น จึงได้จัดการอบรมให้ความรู้ให้กำลังพลได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะใช้สื่อโซเชียลอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ บัญชีเปิดเผยชัดเจน ไม่ได้ปิดบัง ไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายกันแต่อย่างใด
“ท่านโยงไปมา ท่านกล่าวเหมือนกับว่ามีความชำนาญเชี่ยวชาญมากกว่ากองทัพเสียอีก ที่พูดถึงฝ่ายขาวฝ่ายดำ ฝ่ายตรงข้าม เป็นลักษณะวิธีการของการเรียนรู้ฝึกปฏิบัติการสร้างความเข้าใจ มิได้หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามคือประชาชนทั่วไป และการดำเนินการที่ผ่านมา สิ่งที่กองทัพทำคือการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู่ประชาชนเห็นว่ากองทัพทำอะไร มีภารกิจอะไร ส่วนวีดีทัศน์ที่นำมาฉายนั้น ผมเพิ่งเห็นและไม่ทราบว่าเกิดขึ้นอย่างไร แต่ที่สำคัญก็คือ จะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ร่วมกัน ทหารเองก็เป็นประชาชน ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและใช้ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณที่ดี” พล.อ.ชัยชาญ กล่าว
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวอีกว่า การกล่าวถึงสื่อกรมประชาสัมพันธ์ หรือ .. เป็นลักษระการประชาสัมพันธ์ผลงาน อาจเป็นข้อมูลอีกด้านที่ให้ประชาชนเห็น ตรงนี้อยู่ที่ผู้จัดรายการที่จะดำเนินการให้ความรู้ให้ข้อมูลกับประชาชน สื่อต่างๆลักษณะแบบนี้ ถ้าไปดูก็มีลักษณะนี้เช่นเดียวกัน และอาจจะได้เห็นข้อมูลหลายๆ ด้านด้วยซ้ำไป
@‘โรม’โชว์หนังสือ ก.ตร.แต่งตั้งตำรวจไม่เป็นธรรม
ต่อมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ประธาน ก.ตร.) ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจโดยไม่เป็นธรรม โดยตอนหนึ่งรังสิมันต์ โชว์เอกสารในการประชุม ก.ตร. เกี่ยวกับการยกเว้นหลักเกณฑ์แต่งตั้งนายตำรวจ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และมีนายตำรวจอีกบางส่วนได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์ด้วย เช่น พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นต้น ขณะที่มีนายตำรวจอีกกว่า 100 นาย ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา
@‘ศุภชัย’เตือนอย่าพาดพิงบุคคลที่สาม
โดยระหว่างการอภิปรายของนายรังสิมันต์นั้น นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน ได้เตือนนายรังสิมันต์ เกี่ยวกับการพูดถึงบุคคลภายนอกหลายครั้ง และมีการประท้วงจากฝ่ายรัฐบาลหลายราย อย่างไรก็ดีนายรังสิมันต์ ยังอภิปรายพูดถึงชื่อย่อของนายตำรวจอยู่ จนนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน ตักเตือนนายรังสิมันต์เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้นายรังสิมันต์อย่าเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็นอีก ส่งผลให้นายรังสิมันต์ เปลี่ยนไปใช้ชื่อย่อ เช่น พล.ต.ท. ‘ต.’ พ.ต.อ. ‘จ.’ พ.ต.อ. ‘ส.’ เป็นต้น
แต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหลายราย เช่น นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พปชร. ยังคงประท้วงนายรังสิมันต์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงว่า นายศุภชัย วางตัวไม่เป็นกลาง โดยเน้นย้ำถึง ‘ความจำเป็น’ 4 ครั้ง ในการกล่าวถึงนายตำรวจชื่อย่อต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจโดยมิชอบ ทำลายระบบคุณธรรม เกี่ยวพันกับการประพฤติมิชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร อย่างชัดเจน
ต่อมา นายศุภชัย วินิจฉัยว่า ตามข้อบังคับข้อที่ 69 (3) (4) ห้ามเอ่ยถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แต่นายรังสิมันต์พูดถึงบุคคลภายนอกโดยตลอด ถ้าตนอนุญาตนายรังสิมันต์พูดต่อ จะผิดข้อบังคับ ยืนยันไม่ได้ห้ามนายรังสิมันต์อภิปราย มีสิทธิเต็มที่ แต่ต้องรักษาข้อบังคับด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าประธานทำผิดข้อบังคับ สามารถประท้วงได้
“วันก่อนผมถูกประท้วงปฏิบัติไม่เสมอภาค ไม่เป็นกลาง ผมยังยอมรับ ดังนั้นท่านรังสิมันต์ ผมขอเตือนท่านว่า อย่าเอ่ยถึงประเด็นบุคคลข้างนอก ให้เข้าสู่ข้างในว่า นายกฯ รองนายกฯ ผิดพลาดบกพร่องตรงไหน เป็นอย่างไร” นายศุภชัย กล่าว
@อนุญาตให้ปูพื้นแต่อย่าถึงอีก หวั่นโดนฟ้อง
นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า มองเห็นความจำเป็นว่านายรังสิมันต์ต้องปูพื้น ตั้งแต่นั่งรถจากบ้านมา เปิดฟังประชุมสภาตลอด ติดตามนายรังสิมันต์พูดตลอด แต่นายรังสิมันต์เอ่ยถึงบุคคลภายนอกมาตลอด จนตนมาเปลี่ยนกับนายสุชาติ (ตันเจริญ) จะหาว่าไม่รับฟังได้อย่างไร ให้โอกาสแล้ว แต่ให้เอ่ยถึงบุคคลภายนอกด้วยจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
“ท่านเอ่ยมาแล้ว ประธานให้โอกาสแล้ว ท่านสุชาติก็เตือนแล้วหลายครั้ง มันได้พอประมาณแล้ว พูดถึงนายตำรวจที่เป็นอักษรย่อ ต. ชื่อจริง ชื่อเต็ม พูดมาหมดแล้ว นี่เกินพอแล้ว ประธานจะผิดข้อบังคับเสียเอง เขาไม่ฟ้องเฉพาะท่านรังสิมันต์ แต่เขาจะฟ้องประธานด้วย ที่อนุญาตให้พูด ขอให้ปฏิบัติตามนี้ ถ้าพูดย้อนบุคคลภายนอกต่อไปอีก ขอให้หยุดพูดประเด็นนี้ ถ้าไม่ยอมหยุด คงให้นั่งลง” นายศุภชัย กล่าว
อย่างไรก็ดีนายรังสิมันต์ ยังคงอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นการยกเว้นหลักเกณฑ์แต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ พล.ต.ท. ‘ต.’ และ พ.ต.อ. ‘จ.’ อย่างต่อเนื่อง แต่นายศุภชัย ยืนยันอีกครั้งว่าสามารถให้นายรังสิมันต์พูดต่อไปได้เพื่อปูพื้น
ต่อมานายสุชาติ ตันเจริญ กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานอีกครั้ง โดยระบุว่า ขอให้กระชับขึ้น และพุ่งประเด็นว่านายกฯ รองนายกฯปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร
@‘สุชาติ’สั่งปิดสไลด์หนังสือ ‘พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์’-ขอย่าพาดพิงเบื้องสูง
ต่อมา นายรังสิมันต์ โรม เปิดสไลด์อภิปรายถึงเอกสารของ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง ในประเด็นการโอนย้ายนายตำรวจไปบรรจุกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ส่งผลให้นายสุชาติ สั่งปิดสไลด์ทันที และนายไพบูลย์ ประท้วงว่า เป็นการอภิปรายโดยไม่สมควรเนื่องจากมีการพาดพิงบุคคลที่สาม
นายสุชาติ กล่าวว่า ขอให้นายรังสิมันต์ สรุปเลย ไม่อย่างนั้นอนุญาตให้อภิปรายต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเกิดการประท้วงตลอด ขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า การอภิปรายบุคคลที่สาม ข้อมูลที่ได้มาเพียงพอแล้ว ตอนนี้ถึงขั้นตอนสรุปข้อกล่าวหา
@'บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม'ประสานเสียง แต่งตั้ง จนท.ยึดกฎหมายทุกอย่าง
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า ในห้วงทีตนนั่งเป็นประธาน ก.ตร.อยู่นั้นได้ทำตามระเบียบของกฎหมายทุกอย่าง อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณที่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าใครไม่ได้อะไร ซึ่งเป็นเรื่องรายละเอียดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพิจารณาคนของเขาว่าใครมีความสามารถอย่างไร อยากเรียนให้ทราบว่าเราทำตามขั้นตอน ตามระเบียบ ตามกฎข้อบังคับ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า กราบเรียนในขั้นต้นว่าการทำงานใดๆ ก็ตามต้องรู้ระเบียบ ขั้นตอน และกฎหมาย เรื่องหนังสือขอสนับสนุนการแต่งตั้งตำรวจระดับสารวัตร เป็นหนังสือสนับสนุนการพิจารณาขอแต่งตั้ง จะมาจากหน่วยไหนก็ได้ ทั้งนี้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาว่าจะรับหรือไม่รับพิจารณาก็ได้
ส่วนกรณีการแต่งตั้งตำรวจที่มีการยกเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง เป็นการเสนอโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น โดยจะต้องเป็นการพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ ความประพฤติ ประสบการณ์การรับราชการประกอบด้วย รวมทั้งมีเหตุผลสมควร ความจำเป็นแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถพิเศษเฉพาะทาง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งที่มีความเฉพาะเจาะจง ที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ ส่วนการแต่งตั้งที่ผ่านมาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ตำรวจฯ และกฎ ก.ตร.ที่ให้อำนาจไว้ทุกประการ
“ตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียน ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป หรืออนุฯกรรมการร้องทุกข์ ของ ก.ตร. รวมถึงยื่นร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งได้ดำเนินการมาโดยตลอด” พล.อ.ประยุทธ์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า การแต่งตั้งข้าราชการไปแสวงหาผลประโยชน์ เรื่องซื้อขายตำแหน่ง บอกหลายครั้งแล้ว ขอให้ร้องเรียนเข้ามา หลายคนร้องเรียนมา แต่ไม่มีคนรับสารภาพว่าจ่ายให้ใคร มีแต่คำกล่าวอ้างว่า ส่งมาที่ตน ส่งมาที่รองนายกฯ ขอยืนยันว่าไม่มี ด้วยความสุจริต ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันว่าไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออะไรก็แล้วแต่
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage