"...หลังเกิดเหตุจำเลยถูกร้องเรียน จึงเรียกนักศึกษาได้รับทุนการศึกษามารับมอบเงินไปจำนวน 480,000 บาท และคืนเงินให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจำนวน 149,000 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยยังคงเบียดบังไว้อีก 150,000 บาท..."
.......................
จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
คือ ผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีกล่าวหา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัญจรัตน์ หรือเบญจรัตน์ ศรีสุวรรณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เบียดบังเงินทุนโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญาตาม ป.อ.มาตรา 151 , 157 ประกอบมาตรา 90 และ 91 ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2560
โดยเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ว่า จำเลย กระทำความผิดตาม มาตรา 147 และลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
(อ่านประกอบ : ยืนโทษคุก 2 ปี 6 ด.! อดีตผอ.ม.เทคโนฯราชมงคลตะวันออก เบียดบังทุนเขียนเรียงความเด็ก)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นพฤติการณ์การกระทำความผิดในคดีนี้ ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัญจรัตน์ หรือเบญจรัตน์ ศรีสุวรรณ์ พบว่า เกิดขึ้นในช่วงที่ รับราชการเป็นอาจารย์ระดับ 7 ตำแหน่งผู้อำนวยการกองกิจการนักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลคณะเกษตรศาสตร์บางพระ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยเทศโนโลยีราชมงคลตะวันออก เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าแผนกทุนการศึกษาและทุนกู้ยืม
เมื่อปี 2547 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้นำเงินรายได้ส่วนเกินที่จากการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว ซึ่งเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน จัดสรรให้เป็นทุนการศึกษาเพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษา และแก้ไขความเดือดร้อน โดยมอบให้กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษา
สำนักส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา จึงแจ้งให้สถานศึกษารวมทั้งสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล คณะเกษตรศาสตร์บางพระ เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี "โครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชน" เพื่อจะได้โอนเงินเข้าบัญชีและให้สถานศึกษาต่างๆ นำไปโอนต่อไปแก่นักศึกษาผู้ที่ได้รับทุนตามงวดปีการศึกษาต่อเนื่องจนจบการศึกษา
คณบดีคณะเกษตรศาสตร์บางพระ จึงมอบหมายให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัญจรัตน์ หรือเบญจรัตน์ ศรีสุวรรณ์ เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยฯ และมีอำนาจร่วมกับนาย พ. (ตัวย่อ) เบิกจ่ายเงินได้ โดยจำเลยเป็นผู้เก็บรักษาบัญชี
เมื่อระหว่างวันที่ 30 เม.ย.2547 ถึงวันที่ 23 พ.ค.2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวรวม 18 ครั้ง เป็นเงิน 778,500 บาท จำเลยจะต้องเบิกเงินจากบัญชีแล้วนำไปจ่ายให้แก่นักศึกษาที่ได้รับทุนรวม 94 คน
ภายหลังจากจำเลยได้รับเงินไว้ในครอบครองแล้ว จำเลยในฐานะเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยทุจริตปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ
โดยถอนเงินออกจากบัญชีและเบียดบัง ไม่นำจ่ายให้แก่นักศึกษาที่ได้รับทุนตามงวดการศึกษา หลายครั้งดังนี้
ครั้งที่ 1. เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2547 ถอนเงิน 65,000 บาท
ครั้งที่ 2. เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2547 ถอนเงิน 133,000 บาท
ครั้งที่ 3. เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2547 ถอนเงิน 26,000 บาท
ครั้งที่ 4. เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2548 ถอนเิน 180,000 บาท
ครั้งที่ 5. เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2548 ถอนเงิน 120,000 บาท
ครั้งที่ 6. เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2548 ถอนเงิน 20,000 บาท
ครั้งที่ 7. เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2548 ถอนเงิน 30,000 บาท
ครั้งที่ 8. เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2549 ถอนเงิน 180,000 บาท
และครั้งที่ 9. เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2549 ถอนเงิน 24,000 บาท
รวมเป็นเงิน 778,000 บาท
หลังเกิดเหตุจำเลยถูกร้องเรียน จึงเรียกนักศึกษาได้รับทุนการศึกษามารับมอบเงินไปจำนวน 480,000 บาท และคืนเงินให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจำนวน 149,000 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยยังคงเบียดบังไว้อีก 150,000 บาท เหตุเกิดที่ตำบลศรีราชาและตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ต่อเนื่องเกี่ยวกันพัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 147 และ 157 และให้คืนเงินจำนวน 150,000 บาท แก่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ระหว่างพิจารณาก็นำเงินมาชดใช้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาโดยครบถ้วนแล้ว ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยโดยทุจริตเบียดบังเงินทุนการศึกษาในโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชน โดยอาศัยโอกาสที่จำเลยเป็นพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งเงินเป็นจำนวนมากถึง 778,000 บาท ลักษณะของการกระทำความผิดเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงหรือนำพาถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม
พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจะนำเงินคงเหลือจำนวน 150,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อมอบคืนแก่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแล้ว และจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนกับมีภาระต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว รวมทั้งอ้างเหตุผลความจำเป็นในการกระทำความผิด ล้วนแต่เพียงเหตุผลและความจำเป็นส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดลงโทษซึ่งเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน!
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage