"...มีคำถามสำคัญเกิดขึ้น ว่า บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด คู่สัญญา ที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง 22 มิถุนายน 2563 ทุน 5,000,000 บาท จะนำสินค้าจากไหนมาให้อคส.? เมื่อได้สินค้ามาแล้ว อคส.จะนำไปขายต่อให้ใคร และขายในราคาเท่าไร จากราคาที่รับมากล่องละ 225 บาท เพราะมีข้อมูลปรากฎว่าในประเทศไทยยังขายราคาเอฟโอบีกล่องละ 195 บาท ถูกกว่า 30 บาท กรณีนี้จะต้องนำมาบวกเอากำไรอย่างน้อยกล่องละ1เหรียญสหรัฐ ราคาขายก็จะสูง ถึงกล่องละ 260 บาท เมื่อขายแพงกว่าคนอื่นมาก ใครจะมาซื้อ? ..."
..........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 31/2563 ให้ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า มาปฏิบัติหน้าที่ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี โดยบรรจุและแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง เงินอื่น และสิทธิประโยชน์เดิมที่ได้รับอยู่ จนกว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น สั่ง ณ วันที่ 14 ก.ย.2563 ทั้งนี้ คำสั่งย้ายดังกล่าว คาดว่ามีสาเหตุมาจากกรณีที่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการ อคส. ได้นำเงินของ อคส. ไปซื้อถุงมือยางมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ อคส. (บอร์ด อคส.)
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบสัญญาซื้อขายถุงมือยาง ระหว่าง อคส. กับบริษัท การเดียนโกลฟส์ จำกัด พบว่า จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2563 ซื้อขายถุงมือยางไนไตร บรรจุกล่อง (กล่องละ 100 ชิ้น) จำนวน 500 ล้านกล่อง ราคากล่องละ 225 บาท เป็นราคาทั้งสิ้น 112,500 ล้านบาท เป็นราคาที่รวมค่าขนส่งถึงท่าเรือต้นทาง (Free On Board) จำนวนการสั่งซื้อจะแบ่งออกเป็นหลายครั้งตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปี และต้องเป็นของแท้ ของไม่เคยใช้งานมาก่อน และมีคุณภาพ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ผ่านการรับรองตามมาตฐานที่สามารถส่ออกไปยังกลุ่มประเทศยุโปและประเทศอเมริกาได้ และภายใต้สัญญา ได้กำหนดให้ อคส. ต้องจ่ายเงินส่วงหน้า จำนวน 2,000 ล้านบาท ให้กับผู้ขายภายใน 3 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา ส่วนเงินที่เหลือจำนวน 110,500 ล้านบาท จะจ่ายให้เมื่อผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของเป็นงวดๆ ตามมูลค่าสินค้า
มีข้อน่าสังเกตว่า บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท วันที่ 22 มิถุนายน 2563 ก่อนหน้าที่จะลงนามสัญญาซื้อขายกับ อคส. เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2563 ห่างกันประมาณ 2 เดือนเศษเท่านั้น?
เบื้องต้น พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ยืนยันสำนักข่าวอิศรา ว่า การสัญญาซื้อขายถุงมือยางครั้งนี้ ดำเนินการถูกต้อง และจะทำให้อคส.ได้กำไรตอบแทนวงเงินที่สูงมาก สามารถช่วยกู้วิกฤตปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องมา 5 ปี รวมเงินขาดทุนสะสมกว่า 1.1 หมื่นล้าน
ส่วนกรณี บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง 2 เดือนเศษ ก่อนทำสัญญา นั้น พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยืนยันว่า "ก็รับทราบ แต่บริษัทเขามีคุณภาพ และลูกค้าที่มาติดต่อซื้อขายถุงมือยางกับอคส.ก็เป็นผู้นำแนะมาว่า ต้องเป็นบริษัทนี้ ซึ่งผมก็โอเค เพราะการทำธุรกิจครั้งนี้ จะไปทำกับบริษัทรายใหญ่ก็ไม่ได้ เราไม่มีเงินไปวางมัดจำให้ได้จำนวนมากขนาดนั้น"
" หลังจากทำสัญญาเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2563 สัญญาเริ่มเดินไปแล้ว มีการนำสินค้ามาส่งแล้ว เราก็จ่ายเงินให้เขาไป 2 พันล้าน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา แต่ถ้าบอร์ดอคส.ไปยกเลิกสัญญา โดยที่เอกชนเขาไม่ได้ทำผิดอะไรก็ต้องระวังตัวกันให้ดี เหมือนกับกรณีของผม ถ้าโดนทำอะไรที่ไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะใช้ช่องทางศาลปกครองต่อสู้เหมือนกัน"
(อ่านประกอบ : เพิ่งจัดตั้ง 2 ด.เศษ! เปิดตัว บ.คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.-พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยันทำถูกต้อง)
เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา นำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง ซึ่งมีจำนวน 4 หน้า มานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเป็นทางการดังนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณารายละเอียดข้อกำหนดในสัญญาฉบับนี้ จะพบข้อสังเกตสำคัญใน 2 ประเด็น คือ
1. เรื่องหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา
กล่าวคือ ในสัญญาฉบับนี้ กำหนดให้เอกชน ต้องนำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันสัญญา จำนวนเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 10 ของมูลค่าเงินที่ อคส.จ่ายล่วงหน้าตามสัญญา มามอบให้ภายใน 7 วัน ทำการนับแต่วันที่ทำสัญญา
ขณะที่ การชำระเงินสินค้า ในสัญญาฉบับนี้ กำหนดให้อคส.ชำระเงินล่วงหน้า จำนวน 2,000 ล้านบาท ให้กับเอกชน ภายใน 3 วัน นับจากวันลงนามในสัญญา
เมื่อพิจารณาถึงข้อมูลบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด คู่สัญญา ที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง 22 มิถุนายน 2563 ทุน 5,000,000 บาท อาจเป็นเรื่องยาก ที่จะสามารถวงเงินจำนวน 200 ล้านบาท มาออกเป็นหนังสือค้ำประกันสัญญา
แต่กรณีมีความเป็นไปได้ใน 2 วิธี คือ 1. นำสัญญางานกับ อคส.ไปยื่นเรื่องขอออกหนังสือค้ำประกันจากธนาคาร 2. บริษัทฯ แบ่งเงินจำนวน 200 ล้านบาท จากเงินล่วงหน้า จำนวน 2,000 ล้านบาท ที่ อคส. ชำระให้ไปดำเนินการ
แต่ไม่ว่าทางไหน การกำหนดเงื่อนไขสัญญาดังกล่าว อาจทำให้ บริษัทฯ ได้เปรียบ อคส. ในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินในการออกหนังสือค้ำประกันสัญญา จำนวนเงิน 200 ล้านบาท อยู่ดี?
ขณะที่ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูล บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จากฐานข้อมูลออนไลน์ เว็บไซต์ https://www.dataforthai.com/company พบว่า บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ระบุข้อมูลว่ามีทุนจดทะเบียนสูงถึง 2,500 ล้านบาท
แต่ในฐานข้อมูลจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของเว็บไซต์เอกชน corpus.bol.co.th ที่อ้างอิงจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แจ้งว่า ยังมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขไม่ตรงกัน?
2. กระบวนการซื้อขายสินค้าในโครงการนี้
กล่าวคือ ในสัญญาฉบับนี้ กำหนดเงื่อนไขว่า สินค้าที่จะนำมาส่งมอบจะต้องเป็นของแท้ ของไม่เคยใช้งานมาก่อน และมีคุณภาพ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ผ่านการรับรองตามมาตฐานที่สามารถส่ออกไปยังกลุ่มประเทศยุโปและประเทศอเมริกาได้
แต่ก็มีคำถามสำคัญเกิดขึ้น ว่า บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด คู่สัญญา ที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง 22 มิถุนายน 2563 ทุน 5,000,000 บาท จะนำสินค้าจากไหนมาให้อคส.? เมื่อได้สินค้ามาแล้ว อคส.จะนำไปขายต่อให้ใคร และขายในราคาเท่าไร จากราคาที่รับมากล่องละ 225 บาท เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยสินค้าประเภทนี้ น่าจะยังขายราคาเอฟโอบีอยู่ที่กล่องละ 195 บาท ถูกกว่า 30 บาท กรณีนี้จะต้องนำมาบวกเอากำไรอย่างน้อยกล่องละ1เหรียญสหรัฐ ราคาขายก็จะสูง ถึงกล่องละ 260 บาท เมื่อขายแพงกว่าคนอื่นมาก ใครจะมาซื้อ?
ทั้งหมดนี้ เป็นข้อสังเกตใหม่ที่ได้รับทราบจากรายละเอียดในสัญญาซื้อขายฉบับนี้
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร คงต้องรอฟังคำชี้แจงเป็นทางการจาก อคส. บริษัทเอกชน และผู้เกี่ยวข้องเป็นทางการอีกครั้ง
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage