
"...เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเสถียรภาพภายในของ ‘ปชน.’ ดูท่าจะระส่ำระส่าย เพราะถูกกังขาเรื่องกระบวนการคัดสรรตัวผู้สมัคร สส.เขต โดยมีหลายคนถูก ‘คัดออก’ ทั้งที่คลุกคลีตีโมง ลงพื้นที่กับชาวบ้านมาโดยตลอด และบางคนไม่ได้รับคำตอบถึงเหตุผล..."
พลันที่ ‘นายกฯอนุทิน’ ประกาศ ‘ยุบสภาฯ’ และเช้าวันนี้ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ บางคน ‘โล่งใจ’ แต่หลายคนถามหาอนาคตทางการเมืองของ ‘พรรคประชาชน’ (ปชน.) ขึ้นมาทันที
ปัจจุบัน ‘ก๊กส้ม’ กำลังเพลี่ยงพล้ำ เสียรังวัดทางการเมืองอย่างหนักจากการเชื่อใจ ‘ก๊กน้ำเงิน’ สุดท้ายการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ล้มเหลว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ ‘ไร้เดียงสา’ ทางการเมือง ในขณะเดียวกันกระบวนการคัดสรรตัวผู้สมัคร สส.ของพรรคก็กำลังดราม่าหนัก เนื่องจากมีการเทผู้สมัครหลายคนทิ้ง ดันบุคคลอื่นให้มาลงชิงพื้นที่แทน

@อนุทิน ชาญวีรกูล
เริ่มที่ประเด็นการลงนาม MOA กับ ‘ภูมิใจไทย’ ที่ ‘ก๊กส้ม’ ณ เวลานั้น ยืนกรานหนักแน่นว่าเป็นทางเลือกที่ ‘ดีที่สุด’ จาก 2 ตัวเลือกในสมการการเมืองคือ ‘เพื่อไทย’ ที่ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เพิ่งพ้นเก้าอี้นายกฯ กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผิดมาตรฐานจริยธรรม ในคลิปสนทนากับ ‘ฮุน เซน’ เรื่องความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่วน ‘ภูมิใจไทย’ เพิ่งออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หลังหมดความหวาน ‘ปฏิญญาช็อคมินต์’ โดยมีหนึ่งในชนวนเหตุทางการเมืองคือ ‘เพื่อไทย’ ต้องการยึดกุม ‘มหาดไทย’ กระทรวงสำคัญที่ขับเคลื่อนภารกิจทางการเมือง และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ ‘เขากระโดง’ ซึ่งมี ‘บิ๊กเนมบุรีรัมย์’ ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ยังโดน ‘ก๊กแดง’ ขึงพืดสอบปม ‘ฮั้ว สว.’ อีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ดีอีกทางหนึ่ง ‘อนุทิน’ ในตอนสวมหมวกเป็น ‘นายกฯคนที่ 32’ เคยให้สัมภาษณ์ถึงชนวนเหตุที่ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ต้องออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ‘สีแดง’ ว่า เป็นเพราะไม่ยอมอนุมัติให้สัญชาติแก่ ‘เบน สมิธ’ นักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้-กัมพูชา ซึ่งถูก ‘ทอม ไรต์’ นักข่าวสืบสวนสอบสวน ดีกรีรางวัล ‘พูลิตเซอร์’ เปิดโปงว่าอาจมีส่วนพัวพันกับขบวนการ ‘สแกมเมอร์’ ในอาเซียนอยู่ในตอนนี้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่สุดท้าย ‘ก๊กส้ม’ ตกลงปลงใจดัน ‘อนุทิน’ ขึ้นเป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่งมีวาระสำคัญคือการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากนั้นจึงยุบสภาฯ นำไปสู่การเลือกตั้ง และคำถามประชามติ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจมี ‘ดีลลับ’ สะสางบางคดีใน ‘องค์กรอิสระ’ ซึ่งปัจจุบัน ‘ก๊กน้ำเงิน’ ค่อนข้างมีบารมีพอสมควร
ในช่วงเวลา 2-3 เดือนเศษ ‘ปฏิญญาส้ม-น้ำเงิน’ เดินมาถึงจุดพลิกเกมเมื่อ ‘เครือข่ายสีน้ำเงิน’ ทั้ง สว. และ สส.ภูมิใจไทย บางส่วน ดาหน้าลงมติ ‘เห็นชอบ’ กับความเห็นของ กมธ.เสียงข้างน้อย ในการคงไว้ซึ่งเสียง สว. 1 ใน 3 เพื่อผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หักมติของวิปรัฐบาลเดิม และไม่ไว้หน้า ‘ก๊กส้ม’ ที่เคยทำความเข้าใจเอาไว้แล้วว่า ไม่ต้องการให้มี ‘สภาฯสูง’ มาร่วมสังฆกรรมในรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย จนมีการพูดกันว่าต้องการสร้างรัฐธรรมนูญ ‘ฉบับสีน้ำเงิน’ เอาไว้เสียเอง
นั่นจึงทำให้ ‘ปชน.’ ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน เสียหน้าอย่างหนัก แถมยังภาพลักษณ์พังพินาศ เนื่องจากการโหวตหนุน ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯคนที่ 32 หวังผลักดันรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ถูก ‘ด้อมส้ม’ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง ‘จุดยืน’ แล้ว กลับถูก ‘หักหลัง’ ในเรื่องนี้ จนสุดท้ายที่โหวตให้ไป ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ในทางกลับกันดันเพิ่มแรงต่อรองทางการเมืองให้ ‘ก๊กน้ำเงิน’ สยายปีกกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง รวมถึง 2 คดีสำคัญ ‘ฮั้ว สว.-เขากระโดง’ ก็ดูจะไม่คืบหน้าไปไหน และแทบจะหายไปจากหน้าสื่อ
ถึงแม้ ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรค ปชน.พยายามแก้เกี้ยว แถลงย้ำจุดยืนถึง 2 ครั้ง ทำนองให้ไปถาม ‘อนุทิน’ เอาเองว่าใครเป็นคนหัก MOA พร้อมกับขอโทษขอโพยประชาชน ปลุกให้การเลือกตั้งครั้งถัดไปโหวตเลือก ‘ส้ม’ เพื่อสานฝันภารกิจร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจกำกับทิศทางได้ ไม่ต้องกลัวถูกหักหลังอีก
“ภารกิจ ปชน.ครั้งต่อไป คือเลือกตั้งครั้งหน้า เอาหลังพิงประชาชนมากที่สุดให้ประชาชนมอบความไว้วางใจมากที่สุด ทั้งนโยบาย เปิดตัวทีมผู้บริหารต่อจากนี้ การประกาศความพร้อมที่จะมีผู้สมัครครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ สิ่งที่สื่อสารต่อประชาชน ให้ ปชน.เติบโตขึ้น ให้เรากำกับทิศทางรัฐบาลชุดหน้า ให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้” คือคำกล่าวบางห้วงบางตอนของเขา
นัยคำพูดดังกล่าวน่าสนใจ เพราะในช่วงครึ่งปี 2568 เป็นต้นมา ปชน.พยายามปลุกปั้นรีแบรนด์พรรค จากเดิม ‘ซ้ายสุดโต่ง’ มาเป็น ‘Grand Compromise’ ตามแนวคิดของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ศาสดาสีส้ม เน้นตรวจสอบเรื่องคอร์รัปชัน มากกว่าการแก้ไขโครงสร้างสถาบันทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมามีความมั่นอกมั่นใจ เน้นย้ำว่า ปชน.ต้องได้ ‘แลนด์สไลด์’ หรือได้ สส.เกิน 250 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ทว่าในวันนี้ (12 ธ.ค.) กลับลดเพดานลง เหลือแค่เอาหลังพิงประชาชน เพื่อมอบความไว้วางใจในการเลือกตั้งครั้งหน้าเพียงเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่ามกลางภาวะ ‘อนุรักษนิยม’ กำลังครองอำนาจนำ ผ่านสงคราม ‘ชาตินิยม’ ในตอนนี้
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเสถียรภาพภายในของ ‘ปชน.’ ดูท่าจะระส่ำระสาย เพราะถูกกังขาเรื่องกระบวนการคัดสรรตัวผู้สมัคร สส.เขต โดยมีหลายคนถูก ‘คัดออก’ ทั้งที่คลุกคลีตีโมง ลงพื้นที่กับชาวบ้านมาโดยตลอด และบางคนไม่ได้รับคำตอบถึงเหตุผล
ปรากฏการณ์ล่าสุด ปชน.ได้เปิดคัดสรรผู้สมัครสส.เขต ใหม่ทั้งหมด 41 เขต จาก 112 เขต ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2566 โดยหนึ่งในจำนวนนี้ มีผู้ถูกประเมินให้ไม่ผ่านเกณฑ์ยกจังหวัด และเปิดให้สมัครใหม่ จำนวน 2 จังหวัด คือ ภูเก็ต และนนทบุรี ทว่าแกนนำพรรค ปชน.ไม่อยากประกาศผลในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง เนื่องจากกลัวผู้ผิดหวังทำงานแบบเกียร์ว่าง หรือบางคนอาจกลายเป็น ‘งูเห่า’ ย้ายพรรค
มีรายงานข่าวแจ้งว่า กระบวนการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อนั้น นอกจากพิจารณาคุณสมบัติ และความสามารถแล้ว ยังมีกระบวนที่สำคัญที่พรรค ปชน.ได้เปิดให้สมาชิกพรรคกว่าแสนคนทั่วประเทศ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการสรรหาผู้สมัคร สส. และผู้สมัคร ส.ก.ของพรรค ผ่านระบบที่จัดสรรขึ้น มีการประกาศเชิญชวนทางออนไลน์ไป ตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีการส่งแบบประเมินไปให้บุคลากร ที่ทำงานใกล้ชิดกับ สส. เช่น ทีมงานจังหวัด ในเขตที่ชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้ร่วมประเมินด้วย โดยมีฐานคิดว่า หากคนที่ทำงานใกล้ชิดกันเองที่รู้เห็นการทำงานมาตลอด ยังประเมินว่าไม่ผ่านเกณฑ์ พรรคก็ไม่ควรจะส่งลงสมัครเป็นผู้แทนประชาชน หากเขตใดไม่มีปัญหา พรรคก็จะส่งผู้สมัครคนเดิมลงชิงชัย แต่ถ้าเขตไหนถูก ประเมินไม่ผ่าน พรรคก็จะเปิดคัดผู้สมัครใหม่ โดยเปิดให้ สส.แชมป์เก่า เข้าร่วมการคัดสรร กับผู้เสนอตัวเป็นสมัครรายใหม่ ด้วยหากเจ้าตัวต้องการ แต่ไม่มีการการันตีใด ๆ ว่าจะได้รับเลือกจากพรรคอีกครั้ง

@ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
เรียกได้ว่าการคัดเลือกตัวผู้สมัคร สส.พรรคส้มหนนี้ เข้มข้นเฟ้นหา ‘เลือดแท้สีส้ม’ ป้องกันไม่ให้มี ‘งูเห่า’ เกิดขึ้นอีกเหมือนที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และพรรค ปชน.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีกระบวนการคัดตัวครั้งนี้ ถูกบางฝ่ายมองว่า เพื่อหาช่องลงล็อกแก่บรรดาเครือข่าย ‘ชนชั้นนำ’ ในพรรคเท่านั้น
เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้า การคัดสรรตัวผู้สมัคร สส.มีฐานคิดสำคัญมาจากการ ‘เลี่ยงบาลี’ คดี 44 สส.ก้าวไกล ที่อยู่ในช่วง ‘โค้งสุดท้าย’ ของการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอาจมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้นบรรดา สส.เขต จำนวน 8 ราย มีบางคนไม่ไปต่อ แต่บางคนถูกโยกย้ายไปลง ‘ปาร์ตี้ลิสต์’ แทนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ดังนั้นต่อให้ 25 สส.ปชน. ใน 44 สส.ก้าวไกล ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา ก็มีคนในปาร์ตี้ลิสต์ลำดับถัดไปขึ้นมาเป็น สส.อย่างไร้รอยต่อ ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ทำให้จำนวน สส.ในสภา ไม่ลดน้อยถอยลงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือสงคราม ‘3 ก๊กการเมือง’ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ใครจะมีโอกาสคว้าชัยเข้าวิน ปชน. โดยเริ่มมีการปล่อยข่าวมาจาก ‘ค่ายน้ำเงิน’ แล้วว่า ถ้าหาก ‘ภูมิใจไทย’ ชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 จะเชิญ ปชน.มาร่วมรัฐบาล แต่ถ้า ปชน.ชนะ จะไม่ยอมร่วมรัฐบาลด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง ‘ก๊กน้ำเงิน’ อาจไปรอมชอม ‘ดีลใหม่’ กับ ‘ก๊กแดง’ ก็เป็นไปได้
เมื่อ ‘ก๊กส้ม’ กำลังเผชิญวิบากทั้งกรณี ‘ไร้เดียงสาการเมือง’ กับ MOA พ่วงปมพรรคระส่ำจากการคัดสรรผู้สมัคร ถึงคิวต้องกู้วิกฤติ เรียกศรัทธา หาประชาชนมาเป็นหลังพิงอีกครั้ง ท่ามกลางกระแส ‘ขวาเป็นใหญ่’ จะชนะใจในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่ ต้องรอวัดฝีมือ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา