เบื้องลึก! กคพ. ออกข้อบังคับแนวทางสอบสวนบุคคลที่เป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษ ใช้เพิ่มประสิทธิภาพสอบคดีฮั้วเลือก สว. ปี 2567 ให้อำนาจอธิบดีดีเอสไอ เรียกตัวผู้รู้เห็นสอบเป็นพยานสำคัญ ล็อคไม่ให้กลับคำให้การ ไม่ไปเบิกความ โดนเล่นงานสามารถดำเนินคดีได้
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ข้อบังคับ 2 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการสอบสวนคดีของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ลงนามโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการคดีพิเศษ ประกอบด้วย 1. ข้อบังคับ กคพ.ว่าด้วยแนวทางการสอบสวนบุคคลที่เป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษพ.ศ. 2568 และ 2. ข้อบังคับ กคพ.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ในคดีพิเศษระหว่างหน่วยงานของฐที่เกี่ยวข้อง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เชื่อว่าจะทำให้การสอบสวนคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปี 2567 มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เนื่องจากข้อบังคับ กคพ.ทั้ง 2 ฉบับ มีข้อกำหนดที่เอื้อต่อการสอบสวนรวบรวมพยานสำคัญในคดีนี้ หลายข้อ อาทิ การระบุว่าบุคคลใดหากได้ให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรายอื่นที่เป็นตัวการหลัก อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อาจมีคำสั่งให้สอบสวนบุคคลดังกล่าวเป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษตามข้อบังคับนี้ก็ได้ เท่ากับว่า ใครให้ที่ความร่วมมือให้ข้อมูลสำคัญในการสอบสวนคดีนี้ สามารถที่จะได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน
โดยบุคคลที่เข้าลักษณะเป็นพยานสำคัญ ระบุคุณลักษณะไว้ 3 ข้อ คือ 1. เป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ และมิได้เป็นตัวการสำคัญ 2. เป็นผู้ที่ได้ให้ถ้อยคำอันเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีพิเศษ หรือให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรายอื่น ที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้สมคบที่สำคัญ 3. เป็นผู้ที่เต็มใจให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลตาม (2) และรับรองว่าจะไปเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้
แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ดี ในข้อ 12 ของข้อบังคับ กคพ. กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากพยานสำคัญที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่ง ไม่ไม่ไปเบิกความหรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้ หรือไปเบิกความเป็นพยานแต่ไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็นปฏิปักษ์ ให้หัวหน้าหน่วยงานหรือหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษแล้วแต่กรณี พิจารณาดำเนินการกับบุคคลนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
"ข้อกำหนดดังกล่าว ถูกมองว่า มีลักษณะเป็นการล็อคไม่ให้พยานคดีฮั้วเลือก สว.กลับคำให้การ ถ้ากลับคำให้การเมื่อไหร่ จะโดนเล่นงานแน่ สามารถดำเนินคดีได้" แหล่งข่าวระบุ