"...นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด ได้ยื่นคัดค้าน และขอให้ยกคำร้อง โดยยกประเด็นเรื่องคำร้องขาดอายุความและการไต่สวน มีความเห็นของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิชอบโดยกฏหมาย ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 จากเดิม ยกฟ้องแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ในส่วนประเด็นปัญหาที่ ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยตามรูปคดี..."
คดีกล่าวหา นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ร่ำรวยผิดปกติ นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข้อมูลเชิงลึกไปแล้วว่า
1. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิด นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 122 ว.1, ว.5 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้องคดีให้
2. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 มีคำวินิจฉัยว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายอรรถพงษ์ ฐานร่ำรวยผิดปกติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2565 ถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยพ้นกำหนดเวลาสองปี นับแต่วันที่ พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ 2561 ใช้บังคับ อันเป็นวันที่ให้นับระยะเวลาเริ่มต้นดำเนินการไต่สวนใหม่ ตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 115 วรรคสอง, 192 วรรคสอง แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ 2561 การไต่สวนและมีความเห็นหรือวิจิฉัยกรณีร่ำรวยผิดปกติคดีนี้ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎมาย ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน
พิพากษายกคำร้องขอยึดทรัพย์
3. เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2567 ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 จากเดิม ยกฟ้องแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ในส่วนประเด็นปัญหาที่ ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยตามรูปคดี
เนื่องจากเห็นว่า กําหนดระยะเวลาที่พระราชบัญญัตินี้กําหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดําเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสองปี หรือระยะเวลาที่ขยายออกไปรวมแล้วไม่เกินสามปี นั้น เป็นเพียงกรอบระยะเวลาการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัย เพื่อเร่งรัดการดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น โดยมุ่งเน้นไปที่การดําเนินการเพื่อลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ที่ละเลยไม่ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47
แต่หาใช่กําหนดอายุความฟ้องคดีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 หรือเป็นกําหนดระยะเวลาที่ต้องห้ามมิให้ดําเนินคดีต่อไปหรือว่าหากพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอํานาจดําเนินการไต่สวนหรือมีความเห็นต่อไปได้ไม่ ดังที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา 48 วรรคท้ายว่า ให้อยู่ภายใต้กําหนดอายุความ และแม้เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาสองปีหรือสามปีดังกล่าวแล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอํานาจที่จะดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัย หรือดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไป แต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนและดําเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว หาได้มีบทบัญญัติว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอํานาจในการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัย เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว รวมไปถึงว่าหากพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วอัยการสูงสุดไม่มีอํานาจยื่นคําร้องอีกด้วย
แม้ตามมาตรา 192 วรรคสอง จะบัญญัติว่า การดําเนินการต้องให้แล้วเสร็จตามมาตรา 48 ก็เพียงเป็นข้อกําหนดการนับระยะเวลาเริ่มต้นในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเท่านั้น เห็นได้ว่า เป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วหาใช่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ไม่ ดังนั้น การที่เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัยเสร็จแล้ว จึงมีหน้าที่และอํานาจส่งเรื่องให้พนักงานอัยการได้ ซึ่งเมื่ออัยการสูงสุดได้รับสํานวนคดี ให้อัยการสูงสุดดําเนินการยื่นคําร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 119 มาตรา 122 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 3 (2) ผู้ร้องจึงมีอํานาจยื่นคําร้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคําร้องมานั้นศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตศาลอุทธรณ์ และประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
4. เกี่ยวกับคดีนี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูล นายอรรถพงษ์ ร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ศาลฯยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 18 รายการ รวมมูลค่า 23.8 ล้านบาท อยู่ในชื่อ นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด
- ย้อนสำนวนคดีใหม่! ศ.อุทธรณ์แก้คำพิพากษายกฟ้องอดีตนายกเทศฯ แม่ตืน ร่ำรวยผิดปกติ
- ไขคำพิพากษา! ไฉน ศ.อุทธรณ์ สั่งย้อนสำนวนคดีอดีตนายกเทศฯ แม่ตืน ร่ำรวยผิดปกติ
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียด ทรัพย์สินจำนวน 18 รายการ รวมมูลค่า 23.8 ล้านบาท ของ นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด ที่มีการขอให้ศาลฯยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ดังกล่าว
รายการที่ 1
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ TOYOTA แบบ FORTUNER สีดำ รุ่นปี 2010 มูลค่า 1,439,000 บาท
รายการที่ 2
รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ CHEVROLET แบบ COLORADO รุ่นปี 2010 สีดำ มูลค่า 400,000 บาท
รายการที่ 3
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ TOYOTA แบบ FORTUNER สีขาว รุ่น 2012 มูลค่า 1,311,000 บาท
รายการที่ 4
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ TOYOTA แบบวีออส สีดำ รุ่นปี 2007 มูลค่า 320,000 บาท
รายการที่ 5
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ HONDA แบบ CR-V สีขาว รุ่นปี 2010 มูลค่า 1,200,000 บาท
รายการที่ 6
เงินลงทุนร้านกาแฟ ภูตะวันคอฟพี่ ลงทุนด้วยเงินสด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 มูลค่า 400,000 บาท
รายการที่ 7
สลากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาแม่ตีน จำนวน 1,000 หน่วย หน่วยละ 500 บาท มูลค่า 500,000 บาท
รายการที่ 8
บ้านเดี่ยวชั้นเดียวพร้อมที่ดิน เนื้อที่ 50/6/10 ตารางวาในโครงการหมู่บ้านจัดสรร "แสงเพชร" บ้านร้องเรือคำ หมู่ที่ 12 ตำบลป้าแดดอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มูลค่า 1,700,000 บาท
รายการที่ 9
เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จ้ากัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตเชียงใหม่ รายการฝากวันที่ 13 มกราคม 2556 มูลค่า 1,215,000 บาท
รายการที่ 10
เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตพลาซ่าเชียงใหม่ รายการฝากในระหว่างปี พ.ศ. 2554 จนถึงปี พ.ศ. 2556 จำนวน 10 รายการ มูลค่า 1,965,000 บาท
รายการที่ 11
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ HONDA แบบ CMC สีขาว รุ่นปี 2012 มูลค่า 1,000,000 บาท
รายการที่ 12
ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3.ก.) ตำลบแม่ตีน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน มูลค่า 1,200,000 บาท
รายการที่ 13
โรงเรือนพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 3 หลัง มูลค่า 2,000,000 บาท
รายการที่ 14
สิ่งปลูกสร้างอาคารร้านกาแฟภูตะวันคอฟฟี่ มูลค่า 400,000 บาท
รายการที่ 15
เงินลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ลำพูน พีแอนต์เค คอนสตรัคชั่น มูลค่า 1,500,000 บาท
รายการที่ 16
เงินลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ลำพูน พีแอนต์เค คอนสตรัคชั่น มูลค่า 500,000 บาท
รายการที่ 17
เงินผลกำไรจากการประกอบกิจกการรับเหมาก่อสร้าง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 จนถึง ปี พ.ศ. 2560 มูลค่า 2,275,792.45 บาท
รายการที่ 18
รถแทร็กเตอร์ (แบคโฮ) ยี่ห้อ HITACHI สีส้ม รุ่น ZX200-5G มูลค่า 4,518,200 บาท
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ทรัพย์สินทั้ง 18 รายการ มูลค่า 23,843,992.45 บาท พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่สามารถบังคับได้ ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่น
อย่างไรก็ดี นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด ได้ยื่นคัดค้าน และขอให้ยกคำร้อง โดยยกประเด็นเรื่องคำร้องขาดอายุความและการไต่สวน มีความเห็นของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิชอบโดยกฏหมาย
ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 จากเดิม ยกฟ้องแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ในส่วนประเด็นปัญหาที่ ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยตามรูปคดี ตามที่ปรากฏข่าวไปแล้ว
บทสรุปผลการต่อสู้คดีในชั้นศาลจะออกมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันต่อไป