"...เกี่ยวกับคดีนี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูล นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ ร่ำรวยผิดปกติ ทรัพย์สินจำนวน 18 รายการ รวมมูลค่า 23.8 ล้านบาท อยู่ในชื่อ นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด ..."
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ร่ำรวยผิดปกติ ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 122 ว.1, ว.5 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2567 ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 จากเดิม ยกฟ้องแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ในส่วนประเด็นปัญหาที่ ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยตามรูปคดี
ข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน คือ รายละเอียดคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ เป็นอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลคำพิพากษาคดีนี้ พบว่า ศาลชั้นต้น มีคำวินิจฉัยว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ ฐานร่ำรวยผิดปกติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2565 ถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยพ้นกำหนดเวลาสองปี นับแต่วันที่ พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ 2561 ใช้บังคับ อันเป็นวันที่ให้นับระยะเวลาเริ่มต้นดำเนินการไต่สวนใหม่ ตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 115 วรรคสอง, 192 วรรคสอง แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ 2561 การไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยกรณีร่ำรวยผิดปกติคดีนี้ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎมาย
ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน
พิพากษายกคำร้องขอยึดทรัพย์
อย่างไรก็ดี ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้วปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีอํานาจยื่นคําร้องหรือไม่
เห็นว่า การขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเป็นกระบวนการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หมวด 5 การดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ส่วนที่ 2 ซึ่งมาตรา 122 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงาน สํานวน การไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีมติ เพื่อให้อัยการสูงสุดดําเนินการยื่นคําร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินต่อไป...”
โดยหลักเกณฑ์วิธีการไต่สวนตามที่บัญญัติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ แตกต่างจากหนี้ที่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิในการที่จะบังคับให้ลูกหนี้กระทําการหรืองดเว้นการอันใดอันหนึ่งเพื่อชําระหนี้ตามมูลหนี้ที่สามารถบังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การที่ผู้ร้องขอให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินตามคําร้อง แม้เป็นการบังคับเอาจากทรัพย์สินซึ่งอาจเป็นผลให้ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องสูญเสียทรัพย์สินหากผู้คัดค้านที่ 1 พิสูจน์ไม่ได้ว่าทรัพย์สินที่ร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน มิได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติหรือมิได้เป็นทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ก็เป็นผลมาจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิชอบอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่มีความมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ประพฤติทุจริตไม่อาจยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้ได้ต่อไป อันเป็นผลทางกฎหมายที่มิได้เกิดขึ้นจากการก่อหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เป็นมูลเหตุแห่งสิทธิเรียกร้องสามัญและผู้คัดค้านที่ 1 ไม่สามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้ผู้ร้องได้
การยื่นคําร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจึงไม่มีกําหนดอายุความ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การดําเนินการไต่สวนคําร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องดําเนินการตามหมวด 2 ซึ่งมาตรา 48 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ว่ามีการกระทําความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจโดยพลัน โดยในกรณีที่จําเป็นต้องมีการไต่สวน ต้องไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลาที่คณะกรรคณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันเริ่มดําเนินการไต่สวน”
วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นอันไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง คณะกรรมการ ป.ป.ช.อาจขยายระยะเวลาออกไปตามที่จําเป็นได้แต่รวมแล้วต้องไม่เกินสามปี...”
วรรคท้าย บัญญัติว่า "ภายใต้กําหนดอายุความ เมื่อพ้นกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอํานาจที่จะดําเนินการไต่สวน และมีความเห็น หรือวินิจฉัย หรือดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไปแต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาสอบสวนและดําเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว”
ดังนี้ กําหนดระยะเวลาที่พระราชบัญญัตินี้กําหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดําเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสองปี หรือระยะเวลาที่ขยายออกไปรวมแล้วไม่เกินสามปี นั้น เป็นเพียงกรอบระยะเวลาการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัย เพื่อเร่งรัดการดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น โดยมุ่งเน้นไปที่การดําเนินการเพื่อลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ที่ละเลยไม่ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47
แต่หาใช่กําหนดอายุความฟ้องคดีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 หรือเป็นกําหนดระยะเวลาที่ต้องห้ามมิให้ดําเนินคดีต่อไปหรือว่าหากพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอํานาจดําเนินการไต่สวนหรือมีความเห็นต่อไปได้ไม่
ดังที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา 48 วรรคท้ายว่า ให้อยู่ภายใต้กําหนดอายุความ และแม้เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาสองปีหรือสามปีดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอํานาจที่จะดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัย หรือดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไป แต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนและดําเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว หาได้มีบทบัญญัติว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอํานาจในการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัย เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว รวมไปถึงว่าหากพ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วอัยการสูงสุดไม่มีอํานาจยื่นคําร้องอีกด้วย
แม้ตามมาตรา 192 วรรคสอง จะบัญญัติว่า การดําเนินการต้องให้แล้วเสร็จตามมาตรา 48 ก็เพียงเป็นข้อกําหนดการนับระยะเวลาเริ่มต้นในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเท่านั้น เห็นได้ว่า เป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วหาใช่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ไม่
ดังนั้น การที่เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดําเนินการไต่สวนและมีความเห็น หรือวินิจฉัยเสร็จแล้ว จึงมีหน้าที่และอํานาจส่งเรื่องให้พนักงานอัยการได้ ซึ่งเมื่ออัยการสูงสุดได้รับสํานวนคดี ให้อัยการสูงสุดดําเนินการยื่นคําร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 119 มาตรา 122 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 3 (2)
ผู้ร้องจึงมีอํานาจยื่นคําร้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคําร้องมานั้นศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตศาลอุทธรณ์ และประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคําพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสํานวนให้และให้ย้อมสํานวนให้ศาลชั้นต้นดําเนินกระบวนพิจารณาและมีคําพิพากษาใหม่ในส่วนประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้มีคําวินิจฉัยตามรูปคดี
************
สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่า เกี่ยวกับคดีนี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูล นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ ร่ำรวยผิดปกติ ทรัพย์สินจำนวน 18 รายการ รวมมูลค่า 23.8 ล้านบาท อยู่ในชื่อ นายอรรถพงษ์ และบุคคลใกล้ชิด
รายละเอียดเป็นอย่างไร ขอนำเสนอในตอนต่อไป
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันศาล ยังไม่มีคำพิพากษาตัดสินชี้ขาดว่า นายอรรถพงษ์ แซ่แต้ กระทำความผิดตามที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูล นายอรรถพงษ์และผู้เกี่ยวข้องยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่