"....'แจกกล้วย' เป็นศัพท์การเมืองไทย หมายถึง การแจกจ่ายผลประโยชน์แก่นักการเมืองโดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้กระทำหรือละเว้นจากการกระทำทางการเมืองบางอย่างเป็นการตอบแทน เช่น การลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลและการลงมติไว้วางใจรัฐบาล..."
คดีกล่าวหา 'แจกกล้วย' หรือ การจ่ายเงินเลี้ยงดูพรรคเล็กเดือนละแสน กำลังอยู่ในความสนใจของสาธารณชน
เมื่อสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างไต่สวนคดีกล่าวหาสมาชิก สภาผู้แทนราษฏร (สส.) และอดีตสส. หลายราย กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเกิดข่าวในช่วงอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2565 ว่านักการเมืองบ้างกลุ่ม มีการแจกเงินให้ สส.พรรคเล็ก เดือนละ 1 แสนบาท เป็นค่าเลี้ยงดู โดยเปรียบเทียบการจ่ายเงินดังกล่าวว่าเป็นการแจกกล้วย
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้เป็นทางการในช่วงปลายปี 2567 ปัจจุบันมี สส. และอดีต สส. จำนวน 5 ราย ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในข่ายถูกไต่สวนคดี
ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกยังพบว่า มีการแจกเงินไปยังกลุ่ม สส.และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็น 100 คน รวมวงเงินกว่า 200-300 ล้านบาท
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพิ่มเติมหากได้ข้อมูลเพียงพอให้นำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าจะมีมติให้ไต่สวนต่อไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในกรณีการให้ทรัพย์สินหรือเงินกับหัวหน้าพรรคเล็กยังต้องตรวจสอบต่อไปว่า ผู้ที่เป็นคนบงการให้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นใคร เพราะข้อมูลที่มีในเบื้องต้นเป็นเพียงคนใกล้ชิดของ "รัฐมนตรีสั่งการ" และจ่ายผ่านบัญชีของพนักงานในบริษัทเครือข่ายของ "รัฐมนตรีสั่งการ" เท่านั้น
- แจกกล้วยพ่นพิษ! ป.ป.ช.ตั้งไต่สวน 5 สส.คดีรับเงินเดือนละแสน ปูดข่าวช่วงอภิปราย รบ.บิ๊กตู่
- คดีแจกกล้วยลาม! สส.-จนท.เอี่ยวนับร้อย วงเงิน 300 ล.-ป.ป.ช.สั่งขยายผลคนใกล้ชิดรมต.สั่งการ
จากข้อมูลข้างต้น สามารถระบุได้ว่า การไต่สวนคดีกล่าวหา 'แจกกล้วย' หรือการจ่ายเงินเลี้ยงดูพรรคเล็กเดือนละแสน ปัจจุบันมีบุคคล 2 กลุ่มหลัก ที่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบ คือ
กลุ่มผู้รับเงิน แยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. กลุ่ม สส. และอดีต สส. จำนวน 5 ราย ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในข่ายถูกไต่สวนคดีเป็นทางการ
ในจำนวน สส. และอดีต สส. 5 ราย มีชื่ออักษรย่อ ป. 1 คน , พ. 2 คน , ค. 1 คน และ ร. 1 คน บางรายย้ายสังกัด ไปอยู่พรรคใหม่แล้ว
2. กลุ่ม สส.และเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวนกว่า 100 คน รวมวงเงินกว่า 200-300 ล้านบาท
กลุ่มผู้จ่ายเงิน ได้แก่
- ผู้ที่เป็นคนบงการให้เงินจำนวนดังกล่าว เบื้องต้นมีข้อมูลว่าเป็นคนใกล้ชิดของ "รัฐมนตรีสั่งการ" และจ่ายผ่านบัญชีของพนักงานในบริษัทเครือข่ายของ "รัฐมนตรีสั่งการ"
สำหรับข้อกฎหมายที่จะนำมาใช้ประกอบการไต่สวนคดีนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2. คดีอาญารับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท และ 3. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 88 วรรคสอง และมาตรา 134, 135 ซึ่งแม้จะเป็นอำนาจทางกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท ป.ป.ช.มีอำนาจที่จะใช้กฎหมายตัวนี้มาประกอบการพิจารณาคดีได้
โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 88 วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่พรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคการเมือง หรือบุคคลใดให้เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่สมาชิกซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมและไม่ว่าจะให้เป็นประจำหรือเป็นครั้งคราว ถ้าการให้หรือรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดนั้นไม่ เป็นความผิดตามมาตรา 144 หรือมาตรา 149 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้พรรคการเมืองผู้บริหารพรรคการเมือง หรือบุคคลนั้น แล้วแต่กรณี แจ้งให้นายทะเบียนทราบถึงการให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด และให้ประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วย
ส่วนวรรคสอง ระบุว่า ห้ามมิให้สมาชิกซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลใดโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย เว้นแต่เงินที่ได้มีการแจ้งไว้ตามวรรคหนึ่ง
บทลงโทษตามกฏหมายนั้น กรณีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โทษร้ายแรงถึงขั้นห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต และห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
โทษการฝ่าฝืนรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท มาตรา 128 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับข้อมูลกรณีการ 'แจกกล้วย' ของนักการเมืองนั้น ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า มีการเผยแพร่บทความไว้อย่างน่าสนใจ
ระบุว่า 'แจกกล้วย' เป็นศัพท์การเมืองไทย หมายถึง การแจกจ่ายผลประโยชน์แก่นักการเมืองโดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้กระทำหรือละเว้นจากการกระทำทางการเมืองบางอย่างเป็นการตอบแทน เช่น การลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลและการลงมติไว้วางใจรัฐบาล
ดังนั้นคำเรียก “กล้วย” ในทางการเมืองในปัจจุบันจึงถูกใช้เปรียบเปรยกับผลประโยชน์ที่นักการเมืองเรียกรับเพื่อลงมติสนับสนุนรัฐบาลเป็นการตอบแทน อันมีต้นกำเนิดแรกเริ่มมาจาก หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สี่ (พ.ศ. 2519) ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “ฤๅษีเลี้ยงลิง” ซึ่งหมายถึง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องดูแล ส.ส. ที่ขาดระเบียบวินัย ทั้งนี้ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ศัพท์คำว่า “แจกกล้วย” จึงถูกนำมาใช้โดยนักการเมืองบางรายและสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย เนื่องจากรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลผสม 19 พรรค ทำให้การกำกับควบคุมพฤติกรรมของ ส.ส. โดยเฉพาะจากพรรคขนาดเล็กเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงปรากฏเป็นข่าวถึงการใช้วิธีการให้ผลประโยชน์เพื่อแลกกับการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อครหาและข่าวแพร่สะพัดออกมาจำนวนมาก แต่นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้แจกกล้วยและผู้รับกล้วยก็ไม่เคยยอมรับต่อสาธารณชน ขณะที่หน่วยงานอันมีหน้าที่ตรวจสอบก็ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ กับผู้ให้หรือผู้รับได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ
บทความยังระบุ ข้อครหากรณี “แจกกล้วย” ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 (2562-2565) การเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการเลือกตั้งที่ใช้บัตรใบเดียวภายใต้ระบบจัดสรรปั่นส่วนผสม (Mixed-Member Apportionment: MMA) ส่งผลให้ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากในสภา และพรรคการเมืองเข้าสู่สภามากถึง 26 พรรค โดยพรรคเพื่อไทยมี จำนวน ส.ส. มากที่สุด คือ 136 ที่นั่ง รองลงมา คือ พรรคพลังประชารัฐ 116 ที่นั่ง ภายหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง จึงเกิดการขับเคี่ยวกันจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคระหว่าง 2 ขั้วการเมือง ในด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ (81 ที่นั่ง) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เสนอชื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เป็นนายกรัฐมนตรี
@ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะที่อีกด้านหนึ่งพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ปรากฏว่า พลเอกประยุทธ์ ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. 251 เสียง และจาก ส.ว. 249 เสียง รวมเป็น 500 เสียง ชนะนายธนาธร ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. 244 เสียง ผลการลงมติดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ประกอบไปด้วยพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 19 พรรค จนนักวิชาการและสื่อมวลชนขนาดนั้นคาดการณ์กันว่ารัฐบาลจะต้องเผชิญกับปัญหาการไร้เสถียรภาพ ขาดความเป็นเอกภาพ การต่อรองจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง และความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล จนอยู่ในอำนาจได้ไม่นานมากนัก ในแง่นี้ความอยู่รอดของรัฐบาลจึงขึ้นอยู่กับการประนีประนอมกับพรรคร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 11 พรรคเล็กที่มี ส.ส. พรรคละหนึ่งคน ซึ่งยากที่จะได้รับการจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในฝ่ายบริหาร
เค้าลางของความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเล็กปรากฏให้เห็นทันทีภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อ 5 พรรคเล็ก อันประกอบด้วย พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคประชาธรรมไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน และพรรคพลังไทยรักชาติ ประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ขอเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลในรัฐสภาแต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวเปิดใจว่าสาเหตุของการถอนตัวในครั้งนี้ เนื่องจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐไม่ให้เกียรติและไม่รักษาคำพูดในเรื่องที่จะให้ตัวแทนของพรรคเล็กเข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายในฝ่ายบริหาร หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเกิดกรณีความไม่พอใจของพรรคเล็กกันอีกครั้งที่ไม่ได้รับการจัดสรรโควตาในคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส.ส. พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเคยนิยามตนเองว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาล” เพราะเป็นผู้ประสานให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสม ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ผมเป็นคนเลี้ยงลิง เลยต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา ขณะนี้เชื่อว่ากินจนอิ่มแล้วน่าจะพอใจได้แล้ว"
ด้านฝ่ายค้านนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาวิจารณ์ว่าข่าวที่พรรคเล็กข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ตบทรัพย์ทางการเมืองมีให้เห็นอยู่ตลอด “ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร เริ่มต้นเป็น “งูเห่า” ลงท้ายเป็นแค่ “ลิงงอแง” อยากได้กล้วย พอได้กล้วยกินอิ่มก็เงียบ รัฐธรรมนูญที่ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดการเจรจาต่อรอง เป็นใบเสร็จยืนยันว่าการปฏิรูปการเมืองไม่มีอยู่จริง”
ภายหลังจากนั้น ศัพท์เรียกและการแสดงออกถึงการ “แจกกล้วย” ก็ถูกใช้เพื่อล้อเลียน เสียดสี และสร้างสีสันให้กับการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 เรื่อยมา เช่น กรณีที่ นางสาวกุลวดี นพอมรบดี ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ นำกล้วยกรอบแก้วฉาบตาลโตนดของฝากเมืองราชบุรี มาแจกเพื่อนสมาชิกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจนสร้างความฮือฮาและได้รับฉายาจากสื่อมวลชนเชิงหยอกล้อว่า “ส.ส. แจกกล้วย”
กรณีที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ นำกล้วยหอมมาให้ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่รัฐสภา เนื่องจากฝ่ายหลังประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายครั้ง[9] และกรณีที่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ประกาศลาออกจากหัวหน้าและ ส.ส. พรรคเศรษฐกิจใหม่กลางสภา เพราะเอือมระอากับพฤติกรรม ส.ส. “งูเห่า” และ “ลิงกินกล้วย” ภายในพรรค เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การแจกกล้วยที่เป็นข่าวอื้อฉาวมากที่สุดเกิดขึ้นระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสองครั้ง ครั้งแรก ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 กันยายนพ.ศ. 2564 โดยนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวในขณะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า “ผมขอถือโอกาสนี้ประกาศไปถึงทั่วโลกครับ ในขณะนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่ายเงินให้ ส.ส. 5 ล้านบาท บนชั้น 3 ครับ” ทั้งนี้ก็เพื่อแลกกับการลงมติไว้วางใจให้พลเอกประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
ขณะที่พลเอกประยุทธ์ และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ได้ยืนยันว่าไม่มีการแจกเงินดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นแต่เพียง ส.ส. เข้าไปในห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น
แม้ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลจะได้รับความไว้วางใจทั้งคณะ ทว่าฝ่ายค้านก็ยังคงติดตามประเด็น “แจกกล้วย 5 ล้านบาท” โดยอาศัยช่องทางตามกฎหมาย เริ่มจากการทำหนังสือยื่นต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นประธาน เช่นเดียวกับ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้ด้วย ซึ่งผลการสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงพบว่า ไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมเพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่านายกรัฐมนตรีได้จ่ายเงินให้แก่ ส.ส. เพื่อแลกกับการลงมติตามที่ถูกกล่าวอ้าง
ส่วนคณะกรรมาธิการชุดที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เป็นประธานนั้น แม้จะแถลงข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่ามีหลักฐานทั้งคลิปภาพและเสียง รวมถึงสามารถระบุตัวนักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่อสาธารณชนแต่อย่างใด
@ “แจกกล้วย” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พ.ศ. 2565
ข่าวอื้อฉาวครั้งที่สองเกิดขึ้นระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่าง วันที่ 19-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ในขณะนั้นเสถียรภาพของรัฐบาลค่อนข้างสั่นคลอน เนื่องจากเมื่อเดือนมกราคมปีเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐเพิ่งมีมติขับกลุ่มร้อยเอกธรรมนัส กว่า 20 คน ออกจากพรรค จากปัญหาความขัดแย้งและการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี โดยย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจใหม่
ครั้นเมื่อถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร้อยเอกธรรมนัสได้แตกหักกับพรรคเล็กหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กลุ่ม 16” ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีสัญญาใจที่จะลงมติไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรีไปในทิศทางเดียวกันกับฝ่ายค้าน ก่อนที่กลุ่ม 16 จะเข้าพูดคุยกับพลเอกประยุทธ์ และเปลี่ยนท่าทีไปให้การสนับสนุนรัฐบาลในภายหลัง
จากกรณีนี้ ร้อยเอกธรรมนัส จึงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “พรรคพวกนี้ 3-4 ปีที่ผ่านมา รับเงินเดือนจากใครจำไว้เลย ผมมีลายเซ็นไว้ทุกอย่าง รับเกิน 3,000 บาท ระวังไว้เถอะ… เดี๋ยวอาจจะมีไลน์หลุดเย็นวันนี้" พร้อมเสริมด้วยว่า การอภิปรายรอบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กล้วย แต่ยังมีการแลกเปลี่ยนยศถาบรรดาศักดิ์ รวมถึงตำแหน่งสำคัญของลูกหลานด้วย
ในเวลาต่อมาได้มีการเผยแพร่ภาพจากแอพพลิเคชั่นไลน์หลุดออกมาตามที่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น โดยปรากฏภาพและรายชื่อ ส.ส. พรรคเล็ก ประกอบด้วย พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังไทยรักไทย พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคพลเมืองไทย พรรคพลังธรรมใหม่ และพรรคไทยรักธรรม ลงลายมือชื่อรับเงินประจำเดือนมีนาคม 2563 พร้อมแนบหลักฐานการโอนเงินไปยังบุคคลปลายทางชัดเจน เป็นเงิน 100,000 บาท
กรณี “แจก/รับกล้วยเดือนละแสน” ได้ขยายความขัดแย้งระหว่างร้อยเอกธรรมนัส กับพลเอกประยุทธ์ และกลุ่ม 16 มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกกลุ่ม 16 ได้ออกมาตอบโต้ว่าแม้จะมีการโอนเงินเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ใช่การแจกกล้วยให้เงินตามที่เป็นข่าว ทว่าเป็นการหยิบยืมเงินจากร้อยเอกธรรมนัส เพื่อนำไปใช้ลงพื้นที่เท่านั้น
ขณะที่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในขณะนั้น ตั้งข้อสังเกตว่าหาก ส.ส. พรรคเล็กรับเงินเดือน เดือนละ 100,000 บาทจริง ก็จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ที่ระบุว่าหากเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์ที่คิดเป็นเงินเกิน 3,000 บาท ก็จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นการกู้ยืมเงินจริงก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด
(อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2)
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็เงียบหายไปหลายปี!
จนกระทั่งสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวสำนักงาน ป.ป.ช.ว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างไต่สวนคดีกล่าวหาสมาชิก สภาผู้แทนราษฏร (สส.) และอดีตสส. หลายราย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเกิดข่าวในช่วงอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2565 ว่านักการเมืองบ้างกลุ่ม มีการแจกเงินให้ สส.พรรคเล็ก เดือนละ 1 แสนบาท เป็นค่าเลี้ยงดู โดยเปรียบเทียบการจ่ายเงินดังกล่าวว่าเป็นการแจกกล้วย เป็นทางการแล้ว ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้ว
บทสรุปสุดท้ายผลการไต่สวนคดีนี้ ของ ป.ป.ช. จะออกมาเป็นอย่างไร สส. - เจ้าหน้าที่รัฐ รายไหน เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง อีกไม่นานเกินรอ สาธารณชนคงได้รับทราบคำตอบที่ชัดเจนกัน
อย่างไรก็ดี การไต่สวนคดีนี้ ของ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่