"...ส่วนข้อจำกัดทางการเงิน ไม่ได้หมายความว่า ปตท. มีเงินไม่พอ เพียงแต่ต้องดูแลให้เหมาะสม การใช้จ่ายในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง มีปัญหามากมาย เราต้องรู้จักใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด..."
"การใช้จ่ายในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง เรามีปัญหามากมาย เราต้องใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด"
"วันนี้ไม่ได้หมายความว่า ปตท. จะไม่ลงทุนอะไร เรายังลงทุน แต่ไม่ต้องลงเยอะ ลงทุนให้ดีแล้วกัน"
คือ ประเด็นหลักใจความสำคัญ จากคำอธิบายถึงแผนงานการลงทุน ของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในอนาคตนับจากนี้ ของ นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ที่เปิดเผยให้ต่อคณะสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานพลังงานแห่งความยั่งยืน ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 10-16 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวมคณะติดตามไปทำข่าวด้วย
@ นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.
น่าสนใจ ทำไม ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ที่เคยประกาศเม็ดเงินลงทุนในช่วงปี 2567 - 2571 สูงเฉียดแสนล้านบาท ถึงมีวิสัยในการลงทุนทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญแบบนี้
นายคงกระพัน ฉายภาพให้เห็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวิสัยในการลงทุนทำธุรกิจ ว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เรื่องโลกร้อนต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ปัจจัยภายในก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปตท. ต้องดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้สมดุล วันนี้ ปตท.อยู่ในช่วงปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป จะเน้นสร้างความมั่นคงเติบโตด้วยการลงทุนที่ดี ลดความเสี่ยงกับสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะปตท.เห็นแล้วว่าทั้งปัจจัยภายนอกภายในที่มันวุ่นวายไปหมด ความผันผวนทั้งเรื่องพลังงานเศรษฐกิจความสำเร็จกับความเสี่ยงในการลงทุนมันไม่เท่าเทียมกัน
"แต่ไม่ได้หมายความว่า ปตท. จะไม่ลงทุนอะไร เรายังลงทุนอยู่ แต่ไม่ต้องลงเยอะ ลงทุนให้ดีแล้วกัน เพราะโอกาสในการลงทุนที่ดีเติบโตแบบก้าวกระโดดมันมีน้อยกว่า"
"ที่สำคัญคือเราต้องสร้างเสถียรภาพให้เป็นบริษัทที่มั่นคง มีหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือประเทศชาติ เราต้องเข้มแข็งไปพร้อมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกแบบยั่งยืน เพราะเราเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติต้องสร้างความมั่นคงทางพลังงาน"
นายคงกระพัน ยังย้ำว่า "ส่วนข้อจำกัดทางการเงิน ไม่ได้หมายความว่า ปตท. มีเงินไม่พอ เพียงแต่ต้องดูแลให้เหมาะสม การใช้จ่ายในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง มีปัญหามากมาย เราต้องรู้จักใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด"
สำหรับประเด็นเรื่องการลงทุนของ ปตท. นั้น นายคงกระพัน ลงลึกในรายละเอียดว่า "ต่อไปนี้อะไรที่เราไม่เก่ง ไม่ถนัด เราจะไม่ลงทุน แต่จะไปร่วมลงทุนกับธุรกิจที่มีคนเก่งอยู่แล้ว ไปเป็นพาร์ทเนอร์ (หุ้นส่วนทางธุรกิจ) ไปร่วมลงทุนกับเขา
"ผมขอยกตัวอย่างธุรกิจอีวี (การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมระบบเก็บเงิน) เราจะเน้นเรื่องการติดตั้งเครื่องชาร์จ แต่จะไม่ลงทุนเรื่องสถานีอะไร ซึ่งในส่วนของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีความพร้อมเรื่องสถานีอะไรอยู่แล้ว มีปั๊มน้ำมันอยู่แล้ว เราก็จะไปทำกับเขา แบบนี้เป็นต้น"
ส่วนเรื่องพาร์ทเนอร์ นั้น นายคงกระพัน ระบุว่า "ก็ต้องหาดีๆ ผมคิดว่าเอเชียเป็นตลาดใหญ่บริษัทหลายรายสนใจมาลงทุนกับเรา เป็นพาร์ทเนอร์กัน มาตั้งบริษัทร่วมกัน ซึ่งถ้าหากเขามีความสามารถมากกว่า เราก็ถือหุ้นสัดส่วนน้อยกว่าให้เขาเป็นคนนำ"
"เราจะบอกคุณไม่ต้องสร้างใหม่หรอก มาอยู่กับเราดีกว่า ซึ่งตอนนี้ก็มีการพูดคุยกันอยู่หลายราย เป็นบริษัทในต่างประเทศ โดยมีสถาบันการเงินช่วยดูให้ หลายแห่งก็เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี ตอนนี้มีหลายรายที่คุยกันอยู่ แต่อย่างบอกรายละเอียดไม่ได้"
นายคงกระพัน ยังย้ำด้วยว่า "ธุรกิจที่ดี ที่เราทำอยู่ก็ยังทำต่อไป ส่วนธุรกิจที่ต้องปรับตัว อย่างโรงงานประกอบรถยนต์ เราก็ดูแล้วว่าวันนี้ มันก็ยังไม่มีอะไร เราก็ลดทุน เดิมเราถือเยอะกว่าก็ลดลงมาให้พาร์ทเนอร์ถือเยอะกว่า พาร์ทเนอร์เขามีไอเดียอะไรดีๆ ก็ให้เขานำไป"
"แต่บางอย่างก็ต้องเลิกเลย อย่างพวกโลจิสติกส์ ที่ทำรถไฟขนส่งอะไรเนี่ย ดูแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจหลัก ดูแล้วทำไปก็ขาดทุนแบบนี้ก็เลิกเร็ว เพราะธุรกิจนี้อาจจะใหม่กับ ปตท. แต่ไม่ได้ใหม่กับคนอื่น แล้วมันก็ไม่ได้กำไรเยอะ เอาทุนเราไปทำอย่างอื่นดีกว่า นี้เป็นตัวอย่าง อันแรกถือแบบถอยแต่พาร์ทเนอร์เรายังอยู่ บ้างอย่างชัด ๆ ก็เลิกเลย เลิกลงทุน ปิดบริษัทไป"
นายคงกระพัน ยังกล่าวต่อว่า ในบริบทของโลกปัจจุบันความมั่นคงทางพลังงานไม่ได้เป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ อีกต่อไป ท่ามกลางสงครามความไม่แน่นอนอะไรเยอะแยะไปหมด หน้าที่สำคัญอันดับแรก ปตท.ต้องสร้างความมั่นคงทางพลังงานประเทศให้ได้ก่อนและยั่งยืนควบคู่กันไป เพราะว่าถ้ามีพลังงานใช้มั่นคงแต่พลังงานไม่สะอาดก็อาจจะไม่ดีในบริบทโลก ปตท.จะต้องแข็งแรงในธุรกิจหลัก สิ่งที่จะเติบโตจะเน้นเรื่องไฮโดรเจน ธุรกิจไฮโดรคาร์บอนเป็นธุรกิจตั้งแต่สำรวจพลังงานแก๊ส โรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกแก๊สปิโตรเคมีทั้งหมดที่ใช้ในแก็ชปริโตเคมีทั้งหมดที่ใช้ในซัพพลายเชน (ห่วงโซ่อุปทาน) ทำให้เรื่องพลังงานเรื่องความเป็นอยู่ของเราดีขึ้น
"ในบริบทโลกยุคปัจจุบัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะบอกว่าเราก็ทำธุรกิจแบบเดิม พลังงานสะอาดกำลังจะกลายเป็นพลังงานที่สำคัญของโลกในระยะเวลาอันใกล้ ปตท. มีแผนที่จะ'Net Zero' หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 ตอนนี้ทุกบริษัทในโลกก็รีวิวเหมือนกันหมด ให้เป็นไปได้จริง"
"แต่เราคงไม่ไปทำแล้วต้องจ่ายอะไรแพงๆ เป็นไปไม่ได้ ซึ่งตอนนี้กำลังดูเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมว่าจะทำอะไรตอนไหน ต้นทุนเป็นออย่างไร ช้าบางเร็วบ้าง แต่ก็จะพยายามในอยู่ในช่วงเวลาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจน" นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ระบุ (ดูคลิปประกอบ)
ขณะที่ นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุปภาพรวมการนำคณะสื่อมวลชนเข้าศึกษาดูงานนวัตกรรมด้านพลังงานยั่งยืน ณ TAKASAGO HYDROGEN PARK เมืองทากาซาโกะ และงานพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์เคมี ณ KATSURA RESEARCH CENTER เมืองเกียวโต ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ก้าวล้ำนำสมัยอย่างมาก ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่กำหนดเป้าหมาย'Net Zero' ของประเทศภายในปี 2030 ให้ได้ 30% และ 100% ภายในปี 2050 ว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของ ปตท. คือ แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และ เติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน ยั่งยืนคือต้องเดินหน้าด้วยความสมดุล ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
นายรัฐกร กล่าวต่อว่า กุญแจสำคัญเรื่องความยั่งยืน ปตท.จะต้องเดินหน้าทำธุรกิจคู่กับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสม ปัจจุบัน ปตท.กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไว้เร็วกว่าที่ประเทศตั้งไว้ มีการร่วมมือการสร้างสรรค์เพื่อทุกคน Coalition, Co-creation & collective Efforts for All ซึ่งถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะทำให้กลุ่มปตท. ไปสู่เป้าหมาย โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงการ การดักจับ และการจัดเก็บคาร์บอน (CCS) และการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นส่วนผสมในกลุ่มอุตสาหกรรมตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) สัดส่วน 5% รวมถึงการปลูกป่า เป็นต้น
นายรัฐกร กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี การที่จะทำให้ไปถึง Net Zero อย่างแท้จริง ต้องประกอบด้วย ปัจจัย 4 ส่วน คือ 1.ต้องเห็นความสำคัญ 2.ต้องทำให้ต้นทุนถูกที่สุด CCS เป็นพลังงานทางเลือก ที่จะลดคาร์บอน ต้องทำให้เทคโนเลยีตัวนี้ มีต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อที่คนที่เลือกที่จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 จำเป็นต้องหาเทคโนโลยี ที่มีต้นทุนต่ำ พลังงานไฮโดเจนต้องมีต้นทุนต่ำที่ เพราะถ้าทำได้ถึงเวลาก็จะมาทดแทนพลังงานฟอสซิลได้ ส่วนที่ 3. ต้องร่วมคิดโมเดลธุรกิจใหม่ ที่จะทำให้ต้นทุนต่ำ และ 4. สุดท้ายต่อให้ทำทุกอย่างดีแค่ไหน ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่างๆ ที่จะทำให้สามารถดำเนินการศึกษาเรื่องการลงทุน ปลดล็อกให้มีการศึกษาต่อไปได้ รวมถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ รัฐบาลอาจจะต้องสนับสนุนบางอย่างด้วย
@ นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ทั้งหมดนี้ คือ แนวทางกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ ของ ปตท. ท่ามกลางปัจจัยภายนอกภายในที่ผันผวน ส่งผลทำให้การใช้จ่ายเงินลุงทุนต้องเน้นเรื่องคุ้มค่าและใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด 'Net Zero' ที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้
สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ จะบรรลุเป้าหมายสำเร็จตามที่ ปตท. ตั้งใจหวังไว้หรือไม่ ต้องติดตามดูกันต่อไป