ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... และร่างพ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. ....ให้คนอาศัยอยู่ทำกินในเขตอุทยานได้ ชี้ไม่ได้ให้สิทธิในที่ดิน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... (จำนวน 4 แห่ง)
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... (จำนวน 2 แห่ง) รวม 2 ฉบับ ซึ่ง ทส. ได้แก้ไขในส่วนบัญชีท้ายและแผนที่ท้ายจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณา ให้สอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map)
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เป็นร่างพระราชกฤษฎีกาที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติได้มีการแก้ไขในส่วนบัญชีท้ายและแผนที่ท้ายจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยเป็นการกำหนดให้มีโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่มีการประกาศกำหนดมาก่อนวันที่พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ สามารถอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่นั้นเพื่อการดำรงชีพต่อไปได้โดยรัฐไม่ได้ให้สิทธิในที่ดินนั้นแต่อย่างใด และบุคคลดังกล่าวต้องมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ให้มีความสมบูรณ์และมีระบบนิเวศที่เหมาะสม
และกำหนดให้มีการจัดทำโครงการดังกล่าวภายในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้าม ล่าสัตว์ป่า จำนวน 6 แห่ง (อุทยานแห่งชาติ จำนวน 4 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน 1 แห่งเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง) ซึ่งแผนที่โครงการฯ จำนวน 6 แห่งดังกล่าวมีความสอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ของพื้นที่กลุ่มที่ 2 จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดลพบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 และของพื้นที่กลุ่มที่ 3 จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 แล้ว
ทั้งนี้ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติและคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 2 ฉบับ ดังกล่าวแล้ว
ส่วนสาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ สรุปได้ดังนี้
1.กำหนดให้มีโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า (โครงการฯ) มีกำหนดระยะเวลา 20 ปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ แล้วแต่กรณี ได้อยู่อาศัยหรือทำกินเป็นการชั่วคราว โดยมีการกำหนดเขตพื้นที่อยู่อาศัยหรือทำกินที่ชัดเจนและไม่ให้มีการขยายพื้นที่อีก
2.กำหนดให้โครงการฯ ดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาและให้มีแนวเขตโครงการฯ ที่กำหนดไว้ในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ดังนี้
อุทยานแห่งชาติจำนวน 7 แห่ง 1. อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ 2. อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี 3. อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จังหวัดจันทบุรี 4. อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี 5. อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ จังหวัดอุตรดิตถ์ 6. อุทยานแห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ 7. อุทยานแห่งชาติลานสาง จังหวัดตาก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 7 แห่ง 1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง จังหวัดเพชรบูรณ์ 2. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา จังหวัดอุตรดิตถ์ 3. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี 4. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ จังหวัดเชียงราย 5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี 6. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล จังหวัดพิษณุโลก 7. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน จังหวัดอุทัยธานี
3.กำหนดให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ต้องเป็นผู้อยู่อาศัยหรือทำกินตามผลการสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และได้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้กรอบเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ หรือตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ 17 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 โดยการอยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ให้กระทำได้ในจำนวนเนื้อที่ตามผลการสำรวจแต่ไม่เกินครอบครัวละ 20 ไร่ และในกรณีครัวเรือน (ครอบครัวตั้งแต่สองครอบครัวขึ้นไปที่ทำกินร่วมกันในสถานที่เดียวกันหรือในบริเวณพื้นที่ทำกินเดียวกัน) ให้อยู่อาศัยหรือทำกินได้ไม่เกิน 40 ไร่
4.กำหนดให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้ครอบครองที่ดิน และ (2) สมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือน โดยต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) อยู่อาศัยและทำประโยชน์บนที่ดินที่อยู่อาศัยหรือทำกินตามโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง และไม่มีที่ดินทำกินอื่นนอกเขตพื้นที่โครงการฯ
(3) ไม่มีที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยอื่น
(4) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ออกจากอุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
(5) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเกี่ยวกับการยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่จากเดิม ทำไม้ ล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือค้าสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าว นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ
(6) ไม่เคยถูกพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนสิทธิการอยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
5.กำหนดเหตุที่ส่งผลให้การอยู่อาศัยหรือทำกินในโครงการฯ สิ้นสุดลง เช่น เมื่อระยะเวลาของโครงการฯ สิ้นสุดลง ผู้ครอบครองที่ดินไม่ประสงค์จะอยู่อาศัยหรือทำกินในที่ดินนั้นต่อไป ผู้ครอบครองที่ดินไม่ทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยติดต่อกันเกิน 1 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 2.4 ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตามกฎหมาย ว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติหรือกฎหมายว่าด้วยป่าชุมชน เป็นต้น
@ไม่เป็นมรดก แต่ทายาทต้องทำเรื่องขออนุญาตกรมอุทยานฯ
6.กำหนดให้ผู้ครอบครองที่ดินจะโอนการครอบครองให้บุคคลอื่นหรือยินยอมให้บุคคลอื่นที่มิใช่สมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือนเข้าอยู่อาศัยหรือทำกินมิได้ และในกรณีที่ผู้ครอบครองที่ดินถึงแก่ความตาย บุคคลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือนของผู้ครอบครองที่ดินที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้อยู่อาศัยหรือทำกินในที่ดินแปลงนั้น บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ครอบครองที่ดินหรือบุตรนอกกฎหมายที่ผู้ครอบครองที่ดินได้รับรองแล้วหรือคู่สมรสที่ยังมีชีวิตของผู้ครอบครองที่ดิน อาจยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย เพื่อขออยู่อาศัยหรือทำกินในที่ดินแปลงนั้นต่อไป
7.กำหนดให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ มีหน้าที่อยู่อาศัยหรือทำกินโดยไม่รบกวนการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไม่ทำลายแหล่งอาศัยหรือหากินของสัตว์ป่า และไม่ล่าสัตว์ป่าในพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งการทำการเกษตรหรือการอื่นใดเพื่อดำรงชีพต้องไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพดิน น้ำ อากาศ สัตว์ป่า ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนต้องดำเนินการและให้ความร่วมมือกับทางราชการในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่โครงการฯ
@สร้างบ้านได้ไม่เกิน 2 ชั้น ห้ามทำสิ่งปลูกสร้างอื่น
8.กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคาร โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่โครงการฯ ต้องเป็นไปเพื่อการอยู่อาศัยหรือทำกินเท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ โดยต้องสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีลักษณะกลมกลืนกับธรรมชาติ ภูมิทัศน์ และสิ่งแวดล้อมภายในพื้นที่ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคาร โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่น เช่น โรงงานหรือโรงแรมจะกระทำมิได้
9.กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่และอำนาจภายในพื้นที่โครงการฯ เช่น สั่งห้ามการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ หรืออาจทำให้แนวเขตพื้นที่โครงการฯ เปลี่ยนแปลง สั่งให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด สั่งให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินออกจากพื้นที่โครงการภายหลังการสิ้นสุดการอยู่อาศัยหรือทำกิน เป็นต้น
สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 2 ฉบับดังกล่าวเป็นการจัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งในการดำเนินการโครงการจะอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเดิมที่ได้มีการกำหนดแนวเขตเป็นพระราชกฤษฎีกามาก่อนวันที่พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวใช้บังคับ แผนที่ท้ายแสดงแนวเขตแต่ละโครงการฯ ในร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้จึงมิได้มีวัตถุประสงค์ในการกำหนดแนวเขตใหม่และแก้ไขแนวเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า แต่อย่างใด ดังนั้น ทส. จึงเห็นว่าร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มิได้มีการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาในเรื่องการทับซ้อนของแนวเขตที่ดินของรัฐที่แต่ละหน่วยงานใช้มาตราส่วนแผนที่ที่แตกต่างกันโดยการกำหนดให้มีการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีความเห็นในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 แต่อย่างใด ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบผลการดำเนินการแนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) แล้วมีผลให้แนวเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเดิมเปลี่ยนแปลงไปแนวเขตโครงการฯ ตามพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ก็ย่อมเป็นไปตามแนวเขตที่เปลี่ยนแปลงนั้นและไม่ส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ แต่อย่างใด อีกทั้งในระหว่างที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) ร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ยังมีผลเป็นการยกเว้นโทษให้กับประชาชนที่อยู่อาศัยทำกินในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่ได้กระทำเพื่อการดำรงชีพอย่างเป็นปกติธุระอีกด้วย
ที่มาภาพ: Facebook สำนักอุทยานแห่งชาติ