ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปูพรมค้น 9 จุด ทลายเหมืองขุดบิทคอยน์ดัดแปลงมิเตอร์ลักกระแสไฟฟ้าทำให้รัฐเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. พร้อมด้วย นายอุดมศักดิ์ เต็มวงษ์ รองผู้ว่าการสายงานปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการบุกทลายเหมืองขุดบิทคอยน์ดัดแปลงมิเตอร์ลักกระแสไฟฟ้าหลวงทำรัฐเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
หลังนำกำลังพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยจำนวน 9 จุดในพื้นที่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” ได้จำนวน 2 รายประกอบด้วย นายณัฐพงษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี และ นายอาทิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี พร้อมของกลาง เครื่องขุดเหรียญสกุลเงินดิจิตอลบิทคอยน์ 111 เครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ พร้อมจอภาพ 7 ชุดอินเทอร์เน็ตเราเตอร์ 10 ชุด เครื่องมิเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกแก้ไขดัดแปลง 10 เครื่อง
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2567 ได้รับแจ้งจากพลมืองดีว่ามีบ้านต้องสงสัย เป็นอาคารพาณิชย์ จำนวน 1 หลัง มีชายวัยรุ่นเช่าไว้โดยไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัย แต่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้บริเวณรอบบ้าน ทำให้สงสัยว่าอาจใช้ในการติดตั้งเครื่องซิมบ็อก (Sim Box) ที่คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้สำหรับแปลงสัญญาณโทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้เสียหาย ตำรวจจึงได้ลงพื้นที่ดำเนินการสืบสวน ต่อมาทราบว่าผู้เช่าบ้านดังกล่าวคือ นายณัฐพงษ์ นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ ได้เช่าอาคารพาณิชย์ที่อื่นๆรวมถึงติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้โดยไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยในลักษณะเดียวกันอีก 6 แห่ง และยังเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยว อีก 2 แห่ง รวมทั้งสิ้น 9 แห่ง
พ.ต.อ.ภัทราวุธ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายณัฐพงษ์ พบว่ามีธุรกรรมที่ต้องสงสัย ในห้วงเดือน ม.ค.2566 ถึง ก.ค. 2567 มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท จึงเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อตรวจสอบการใช้กระแสไฟฟ้าของบ้านต้องสงสัย พบว่าบ้านดังกล่าวมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่สูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน จึงน่าเชื่อว่ามีการลักลอบตัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อลักกระแสไฟฟ้าและนำไปใช้เปิดการทำงานของเครื่องของขุดเหรียญสกุลเงินดิจิตอลบิทคอยน์ จึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนแกะรอยต่อเนื่องจนเชื่อว่าน่าจะมีการกระทำผิดจริง โดยกระทำผิดร่วมกับนายอาทิตย์ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับจนนำมาสู่การจับกุมตัวทั้งสองพร้อมของกลางดังกล่าว
สอบสวน นายณัฐพงษ์ ให้การรับสารภาพว่า ทำมาตั้งแต่ปลายปี 2566 โดยจะเริ่มจากการหาเช่าบ้านเพื่อใช้เป็นสถานที่ติดตั้งเหมืองขุดบิทคอยน์ จากนั้นจะเริ่มทยอยสั่งซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์มือสองผ่านทางกลุ่มเฟซบุ๊ก แล้วนำมาติดตั้งในบ้านแต่ละหลัง ก่อนจะว่าจ้างให้ นายอาทิตย์ ดัดแปลงมิเตอร์ไฟ เพื่อทำให้วัดปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าได้น้อยกว่าความเป็นจริง พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องและได้เปิดใช้งานระบบเหมืองขุดบิทคอยน์ดังกล่าวเรื่อยมา
ขณะสอบปากคำนายอาทิตย์ ให้การยอมรับว่า ได้รับการว่าจ้างจาก นายณัฐพงษ์ ให้ทำหน้าที่ดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้อ่านค่าได้น้อยกว่าความเป็นจริง รวมถึงเป็นคนติดตั้งระบบไฟเพื่อใช้งานกับเครื่องขุดบิทคอยน์ดังกล่าว
ด้าน นายอุดมศักดิ์ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวคือการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมายโดยการดัดแปลงมิเตอร์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จึงอยากฝากเตือนพี่น้องประชาชนว่า ห้ามดัดแปลงมิเตอร์เพื่อลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าเด็ดขาด เพราะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายข้อหาลักทรัพย์ (ลักกระแสไฟฟ้า) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งในส่วนเจ้าของสถานที่หรือผู้ให้เช่าเอง หากพบการกระทำดังกล่าวของผู้เช่าแล้วนิ่งเฉย ก็มีความผิดตามกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ หสกประชาชนพบเบาะแสหรือต้องการตรวจสอบมิเตอร์ ก็สามารถแจ้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เน้นย้ำว่าการทำเหมืองบิทคอยน์สามารถทำได้ แต่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายและไม่ลักลอบใช้อย่างกรณีดังกล่าว เพราะจะมีความผิดตามกฎหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟฟ้าของผู้ต้องหาทั้งสอง พบว่าหากไม่มีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้า เครื่องชุดบิทคอยน์ของกลางจำนวน 111 เครื่อง จะต้องเสียค่าไฟเดือนละประมาณ 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการที่คนร้ายก่อเหตุมาแล้วเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี คาดการณ์ความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท