"…จำเลยทั้งสองย่อมร่วมกันรู้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ให้แก่สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ที่จำเลยที่ 1 เป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ปรึกษาทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และผู้จัดการสนามสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร จำเลยที่ 2 เป็นเลขานุการสมาคมสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และเป็นผู้จัดการสนามและกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี อยู่ด้วยแล้ว สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ต้องนำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปจ่ายให้แก่สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และหรือสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ที่จำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งอันสำคัญ…"
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงาน คำพิพากษาน่าสนใจ เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย สั่งจ่ายเงินอุดหนุนให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลในจังหวัดพิจิตรโดยอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิจิตร และตำแน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อบจ.พิจิตร ในการอนุมัติเงินอุดหนุนให้กับสมาคมกีฬาเป็นเวลา 3 ปี รวมจำนวน 15,654,115.12 บาท ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 พิพากษาสั่งจำคุกจำเลยที่ 1 9 ปี 12 เดือน และจำเลยที่ 2 จำคุก 6 ปี 6 เดือน 60 วัน
มีรายละเอียด ดังนี้
คดีหมายเลขดำที่ อท 224 /2566
คดีหมายเลขแดงที่ อท 102 /2567
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6
วันที่ 31 เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช 2567
ความอาญา
ระหว่าง
อัยการสูงสุด โจทก์
นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ จำเลยที่ 1
นายเจน ตาลเลี้ยง จำเลยที่ 2
เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
@ สรุปคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ส่วนจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ปรึกษาทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และผู้จัดการสนามสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และจำเลยที่ 2 ยังดำรงคำแหน่งเลขานุการสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และเป็นผู้จัดการสนามและกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี เมื่อระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2555 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวเข้าไปมีนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการอนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ในโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตรพิพาท ประจำปี 2553 จำนวน 3,700,0000 บาท โครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตรพิพาท ประจำปี 2554 จำนวน 9,955,980 บาท และโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตรพิพาท ประจำปี 2555 จำนวน 4,998,135.12 บาท
ซึ่งจำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งในสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และทีมสโมสรฟุตบออดังกล่าวตอนต้น โดยนำเงินอุดหนุนที่ให้ได้รับจากองค์การบริหารส่วนจังพิจิตรดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ที่จำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์สำหรับประชาชนในท้องถิ่น ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการทีมฟุตบอล เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยงนักฟุตบอล ซึ่งมีนักฟุตบอลชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ค่าที่พักนักกีฬา และค่าพาหนะเดินทาง ฯลฯ รวมทั้ง 3 ปี 3 โครงการ รวมเป็นเงิน 15,654,115.12 บาท ซึ่งโครงการพิพาททั้งสามไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ที่จะสนับสนุนเงินงบประมาณให้ได้
การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
และการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ชื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
เหตุเกิดที่ตำบลในมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86, 91, 151, 152, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โจทก์มีพยานหลายราย พยานเบิกความให้การมีใจความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร อนุมัติการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตร พิพาทประจำปี พ.ศ. 2553
@ ปี 2562 ของบฯสำหรับปี 2563 3.8 ล้าน
โดยจำเลยที่ 1 ในขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร พิจารณาเรื่องที่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ขอรับงบประมาณเงินสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ. 050/2552 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ขอรับงบประะมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร 3,800,000 บาท โดยไม่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายในโครการ และจำเลยที่ 2 ผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ เป็นผู้ทำบันทึกและความเห็นเสนอจำเลยที่ 1 ว่าเห็นควรให้การสนับสนุน ตามบันทึกข้อความกองการศึกษาฯ ที่ พจ. 51008/2695 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2552 และทำรายงานขออนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร 3,800,0000 บาท จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารฯ ได้พิจารณาอนุมัติเบิกจ่ายเงินงประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 จำนวน 3,800,000 บาท ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ
@ สมาคมฯใช้งบไป 3.7 ล้าน อีก 1 ล้าน ระบุเป็นค่าใช้จ่ายอื่น
สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร นำเงินที่ได้รับดังกล่าวไปใช้เป็นค่าใช้จำยการแข่งขันของทีมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2010 โดยใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันและเข้าร่วมการแข่งขันของทีมฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร 3,700,000 บาท ที่เหลือใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายการอื่น ปรากฏตามหนังสือของสมาคมกีฬาจังหวัดที่จิตร
@ ปี 2563 ของบฯสำหรับปี 2564 10 ล้าน โดยขอแบ่งจ่าย 5 งวด
ต่อมาปีงบประมาณ 2554 องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร อนุมัติการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรตามโครงการส่งสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตร พิพาท ประจำปี 2554 โดยจำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารฯ พิจารณาเรื่องที่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ขอรับงบประมาณเงินสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ. 249/2553 ลงวันที่ 11 พฤศจิภายน 2553 ถึงนายกองค์การบริหารฯ ขอรับงบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารฯ 10,000,000 บาท โดยไม่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายในโครงการ
จำเลยที่ 2 ผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ ทำความเห็นเสนอจำเลยที่ 1 ว่าเห็นควรให้การสนับสนุน และมีความเห็นของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อความของกองการศึกษาฯ ที่ - ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 รายงานต่อจำเลยที่ 1 ว่า สถานะทางการคลังขององค์การบริหารฯ มีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนงบประมาณให้แก่ให้สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรได้ทั้งจำนวนจึงเสนอให้สนับสนุนงบประมานเป็นงวด ๆ และจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารฯ ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ 5 งวด ดังนี้
งวดที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท
งวดที่ 2 จำนวน 2,000,0000 บาท
งวดที่ 3 จำนวน 3,000,000 บาท
งวดที่ 4 จำนวน 2,000,000 บาท
งวดที่ 5 จำนวน 2,000,000 บาท
@ ได้เงินอุดหนุน 10 ล้าน ใช้จ่าย 9.95 ล้าน ส่งคืนเงินอุดหนุน 4.4 หมื่น
สมาคมกีฬาฯ นำเงินที่ได้รับไปใช้จ่ายในโครงการฯ พิพาท 9,955,980 บาท ส่งคืนเงินอุดหนุนเหลือจ่าย 44,020 บาท โดยได้แสดงรายการใช้จ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการแข่งขังขังฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2010 สำหรับสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ตามบัญชีรายการค่าใช้จ่ายเป็นค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ ค่าเบี้ยเลี้ยงฝึกข้อมของนักฟุตบอลซึ่งเป็นชาวต่างชาติด้วยจำนวนหนึ่ง ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่สมาคม ค่าตอบแทนเด็กเก็บบอล ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ค่าเช่าที่พักนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ ค่าพาหนะเดินทาง และอื่น ๆ รวม 8,246,421 บาท และจ่ายเงินให้แก่สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี เป็นค่าใช้จ่ายในการแข่งขันฟุตบอลลีกภูมิภาค (ดิวิชั้น 2) ฤดูกาล 2010 ของทีม เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อมของนักฟุตบอล ซึ่งเป็นชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ค่าพาหนะเดินทางไปแข่งขัน ค่าชุดแข่งขันและอุปกรณ์การฝึกซ้อม ค่าจัดทำป้ายโปรแกรมการแข่งขัน และอื่นๆ รวม 1,955,980 บาท
@ ขอเงินอุดหนุน ปี 2555 10 ล้าน
และในปีงบประมาณประจำปี 2555 นายปราโมทย์ แก้ววิเชียร อุปนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ.001/2555 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ขอรับเงินอุดหนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร 10,000,000 บาท ในโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาจังหวัดพิจิตร พิพาท ประจำปี 2555 โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดค่าใช้จ่าย จำเลยที่ 2 ผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ ได้เสนอความเห็นท้ายโครงการฯพิพาทว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมกีฬาของจังหวัดพิจิตร เห็นควรให้การสนับสนุนโครงการ ส่วนนางสาวสุกี ศรีสุเทพ รองปลัดฮุงค์การบริหารฯ และนางพรรณทิพา ภูวะปัจฉิม ปลัดองค์การบริหารฯ เสนอความเห็นควรขอรับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด
จำเลยที่ 1 นายกองค์การบริหารฯ ได้อนุมัติและเห็นชอบให้ส่งคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยต่อไป ในระหว่างที่รอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยที่ 2 ผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ มีบันทึกข้อความกองการศึกษาฯ ที่ พจ 51008/0234 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 รายงานต่อจำเลยที่ 1 นายกองค์การบริหารฯ ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินโครงการฯ พิพาท ประจำปี 2555 งบประมาณ 10,000,000 บาท ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ 2555 หมวดเงินอุดหนุน (งวดที่ 1) จำนวน 4,000,000 บาท จำเลยที่ 1 เห็นชอบและลงนามอนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน 4,000,000 บาท ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ตามจำเลยที่ 2 เสนอ โดยจ่ายเป็นเช็คเลขที่ 000155/55 ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร โดยนายวันชัย ออกใบเสร็จรับเงินเล่มที่ 05 เลขที่ 004 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นหลักฐาน
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 นายปราโมทย์ อุปนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ.065/2555 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ขอรับเงินอุดหนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร 1,000,000 บาท และในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 มีบันทึกข้อความกองการศึกษาฯ ที่ พจ 51008/1457 วันที่ 7 สิงหาคม 2555 รายงานต่อจำเลยที่ 1 นายกองค์การบริหารฯ ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินในโครงการฯ พิพาท (งวดที่ 2) ให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร 1,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ส่งนามอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ได้ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ โดยจ่ายเป็นเช็ค เลขที่ 000845/55 ให้สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร โดยนายวันชัยรับเงินและออกใบเสร็จรับเงิน เล่มที่ 05 เลขที่ 017 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2555 ไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2555 จำเลยที่ 1 นายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ. 082/2555 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2555 รายงานการใช้จ่ายเงินอุดหนุนในโครงการฯ พิพาท ประจำปี 2555 ว่า สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ได้รับเงินอุดหนุนจากองค์การบริหารฯ รวม 5,000,000 บาท และนำเงินไปดำเนินโครงการฯ พิพาทเสร็จเรียบร้อยพร้อมแนบแบบรายงานโครงการ เงินอุดหนุนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรอุดหนุนงบประมาณให้หน่วยงานอื่น ประจำปีงปประมาณ 25555 หน่วยงานสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ว่าได้ใช้จ่ายเงินไปในการส่งนักกีฬาจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ขอนแก่นเกมส์ ส่งนักกีฬาจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 28 ภูเก็ตเกมส์ สนับสนุนค่าเหรียญรางวัลแก่นักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการเข้าร่วมการแข่งขัน ขอนแก่นเกมส์ และ ภูเก็ตเกมส์ ส่งนักกีฬาจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ ส่งนักกีฬาจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ภาค 5 ณ จังหวัดเชียงใหม่ และทีมนักกีฬาจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาชีพ
โดยใช้จ่ายเงินไป 4,998,135.12 บาท มีเงินเหลือจ่าย 1,864.88 บาท โดยมีรายการใช้จ่ายของสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่นำเงินอุดหนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ในโครงการฯ พิพาท ไปจ่ายให้แก่ทีมฟุตบอลพิจิตร เอฟซี เพื่อเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงของผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่ทีม และนักฟุตบอล ซึ่งเป็นชาวต่างชาติอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ค่าพาหนะเดินทางไปแข่งขัน ค่าชุดแข่งขันและอุปกรณ์การฝึกซ้อม ค่าจัดทำป้ายโปรแกรมการแข่งขัน ค่าเวชภัณฑ์ในการฝึกซ้อม ฯลฯ รวม 1,998,135.12 บาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งนักกีฬาจังหวัดพิจิตร เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ รวมเป็นเงิน 3,410,830 บาท
ประกอบกับรายงานรายรับ - รายจ่ายของสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรตามโครงการฯ พิพาท ประจำปี 2555 ที่จ่ายให้แก่สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี 1,998,135.12 บาท และบันทึกการขออนุมัติเบิกเงินของสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่มีข้อความว่าสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ขอเบิกเงินมาที่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร นายวันชัย เหรัญญิกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร หรือจำเลยที่ 2 เลขานุการสมาคมฯ แล้วแต่กรณีจะเป็นผู้รายงานของอนุมัติเบิกเงินต่อจำเลยที่ 1 นายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เป็กจ่ายเป็นให้แก่สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และจำเลยที่ 1 นายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ลงชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายเงินให้แก่สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ทุกครั้ง ตามหนังสือสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ สก.พจ. 297/2554 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ที่รายงานการใช้จ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการพิพาทต่อนายกองค์การบริหารฯ
การกระทำของจำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารฯ ที่อนุมัติเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ในโครงการฯ พิพาท ปีงบประมาณ 2553 ถึงปี 2555 ตามข้อเสนอและความเห็นของจำเลยที่ 2 ผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ และสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรนำเงินที่ได้รับอุดหนุนนั้นไปใช้จ่ายให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และทีมสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ไปจ่ายในการบริหารจัดทีมสโมสรทั้งสอง รวม 15,654,115.12 บาท โดยก่อนสมาคมก็ฬาจังหวัดพิจิตร จะขอสนับสนุนเงินจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ไปให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี นั้น
ทีมสโมสรทั้งสองจะต้องทำโครงการและรายละเอียดค่าใช้จ่ายไปให้คณะกรรมการสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ใช้พิจารณาในการจัดสรรเงินสนับสนุนก่อน เมื่อคณะกรรมการฯ พิจารณาว่าจะจัดสรรให้เป็นจำนวนเท่าใด เมื่อไม่มีเงินหรือมีไม่เพียงพอสนับสนุนก็จะดำเนินการหาเงินสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรจึงได้เสนอโครงการฯ พิพาท ไปขอรับเงินอุดหนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ไปพร้อมกับโครงการฯ พิพาท แต่ไม่ได้แนบรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการที่ขอรับเงินสนับสนุนไปด้วย โดยพยานโจทก์ต่างเบิกความและให้การสอดคล้อมต้องกันกับเอกสารสารที่เกี่ยวข้องในรายงาน และสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอกสารหมาย จ. 1 โดยไม่มีเหตุที่พยานโจทก์เหล่านั้นจะเบิกความ ให้การ จัดทำ และรวบพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ ในสำนวนการไต่สวนอันเป็นเท็จ เพื่อกลั่นแก้ลงปรักปรำจำเลยทั้งสองให้ได้รับโทษทางอาญาอุกฉกรรจ์เช่นนี้ได้ เชื่อว่าพยานโจทก์ต่างเบิกความ ให้การ จัดทำ และรวบเอกสารต่าง ๆ ในสำนวนการไต่สวนไปตามความเป็นจริงตามที่พยานรู้เห็นและตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
@ โครงการที่ขอเงินอุดหนุนต้องมีประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าได้นำเรื่องโครงการฯ พิพาท ประจำปี พ.ศ. 2553 ถึง 2555 บรรจุในข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณและผ่านความเห็นชอบจากสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและปรึกษาหารือขอความเห็นจากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และคุณะอนุกรรมการการกระจายอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด จึงเชื่อว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร สามารถสนับสนุนงบประมาณให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรได้ โดยถือเป็นภารกิจและอยู่ในอำนาจหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรโดยชอบนั้น แต่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญว่าโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับเงินอุดหนุนจะต้องอยู่ในอำนาจ และหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองเป็นส่วนรวม
เมื่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรเห็นสมควรตั้งงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนเพื่ออุดหนุนในโครงการใด ให้นำโครงการนั้นบรรจุไว้ในแผนพัฒนาท้องถิ่นก่อนการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำ หากมีปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัย
จึงเห็นได้ว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร เป็นหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้รับการแห่งขึ้นโดยผลของกฎหมาย เป็นการกำหนดหลักการในการจัดระเบียบการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยหลักมีหน้าที่รับผิดชอบภายในเขตพื้นที่จังหวัดนั้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลมหาชน กิจกรมหรือกิจการที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร รับดำเนินการจึงต้องยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ การดำเนินกิจกรรมหรือกิจการใดๆ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรจึงต้องมีตัวบทกฎหมายบัญญัติรับรองอำนาจและหน้าที่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนในพื้นที่ต้องได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมตามบทบัญญัญญัติของกฎหมายข้างต้น
เมื่อสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร มีหนังสือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร พิพาททั้ง 3 โครงการ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการทีม เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา ซึ่งมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการฝึกข้อมและการแข่งขัน ค่าที่พัก และค่าเดินทางของสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นเจ้าของงบประมาณมีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาและตรวจสอบรายละเอียดของโครงการพิพาทตั้งแต่ก่อนการตั้งงประมาณและเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตรว่า เป็นกิจกรรมที่เป็นสาธารณะซึ่งประชาชนได้รับประโยชน์ ตามมาตรา 45 (8) แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วมจังหวัด พ.ศ. 2540 และตานมาตรา 17 (18) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 หรือไม่ หากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรพิจารณาเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่สามารถอุดหนุนงบประมาณก็สามารถแจ้งหน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุนให้แก้ไขรายละเอียดของโครงการให้ถูกต้องได้
รวมถึงหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีปัญหาหรือข้อขัดข้อง องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรก็สามารถเสนอความเห็นเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรในฐานะผู้กำกับดูแลแงค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาต่างๆ เพื่อให้ได้ความกระจ่าง
@ โครงการของสมาคมกีฬาฟุตบอลไม่มีลักษณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารฯ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีหน้าที่ควบคุม ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานราชการองค์การบริหารฯ และการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด แต่จำเลยที่ 1 กลับลงลายมือชื่ออนุมัติในฎีกาเบิกเงินงบประมาณรายจ่ายตามฎีกาเพื่อเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ตามโครงการฯ พิพาททั้งสาม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา ซึ่งมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการฝึกข้อมและการแข่งขัน ค่าที่พัก และค่าเดินทางของทีมสโมสร ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน โดยไม่ตรวจสอบเสียก่อนว่าสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งโครงการพิพาททั้งสาม ไม่ได้เป็นโครงการที่มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นเป็นส่วนรวม จึงไม่ใช่โครงการหรือกิจกรรมที่อยู่ภายในอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ที่จะตั้งงบประมาณอุดหนุนได้
แม้ว่าโครงการพิพาททั้งสามที่ขอรับเงินอุดหนุนดังกล่าวจะได้ผ่านการเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ต่างๆ ตามลำดับสายงานการบังคับบัญชา คณะผู้บริหาร สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร คณะอนุกรรมการอำนวยการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะทำการตรวจสอบรายละเอียดความถูกต้องของโครงการพิพาทที่ขอรับเงินอุดหนุนก่อนลงลายมือชื่อชื่อในฎีกาเบิกจ่ายเงินดังกล่าว
หากจำเลยที่ 1 มีข้อสงสัยว่าโครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนไม่สามารถเบิกจ่ายได้ จำเลยที่ 1 ก็สามารถทำความเห็นแย้งแนบฎีกาหรือทักท้วงว่าไม่สามารถดำเนินการได้ และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ตามมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ หรือหากไม่แน่ใจจำเลยที่ 1 ชอบที่จะมีหนังสือหารือไปทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง แต่จำเลยที่ 1 หาได้กระทำเช่นว่านั้นไม่ หากจำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเอาใจใส่แล้ว ย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะทราบได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ และกรณีที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และสโมสรฟุตบอลทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร แต่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นที่ปรึกษาทีมสโมสรหรือตำแหน่งผู้จัดการสนาม/กรรมการ โดยพลการและตนมิได้รู้เห็นหรือยินยอม
ประกอบกับตำแหน่งปรึกษาทีมสโมสร หรือตำแหน่งผู้จัดการสนาม/กรรมการ มิได้ทำให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหน้าที่ในการมีส่วนได้เสียกับทีมสโมสรฟุตบอลทั้งสองแต่ประการใดนั้น ล้วนแต่เป็นการกล่าวอ้างโดยปราศจากพยานเอกสารหรือพยานบุคคลมานำสืบหักล้างข้อเท็จจริง ที่ปรากฏตามบันทึกข้อความสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และตามบันทึกข้อความสโมสรฟุตบอลทีทีเอ็ม เอฟชี พิจิตร ลงวันที่ 10 มกราคม 2554 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรฟุตบอลทีทีเอ็ม เอฟชี พิจิตร เพิ่มเติม และที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าการแต่งตั้งดังกล่าวเป็นการแต่งตั้งเพื่อความสะดวกในการจัดการแข่งขันนั้น
@ จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่เคยดำรงตำแหน่งใด ๆ ในสโมสรฟุตบอล แต่มีหลักฐานชัดเจน
แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และในฐานะนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร กลับตอบข้อชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 11 ว่าตนไม่เคยดำรงตำแหน่งใด ๆ ในสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี แต่จากพยานเอกสารแสดงว่าสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร มีบันทึกข้อความทีทีเอ็ม 2011/018 ลงวันที่ 20 มกราคม 2554 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร เพิ่มเติม มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสนาม/กรรมการ และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี มีบันทึกข้อความพิจิตร เอฟซี 2011/- ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสนาม/กรรมการ จำเลยที่ 1 และนายปราโมทย์ แก้ววิเชียร เป็นที่ปรึกษาทีม ตามที่สโมสรได้มีการรายงานต่อนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร
ยิ่งไปกว่านั้นผลการตรวจสอบของผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ก็พบหลักฐานจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจลงนามอนุมัติในการขอเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี แล้วมีการทำบันทึกเรียกประธานสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ประกอบกับทั้งจำเลยที่ 1 และนายปราโมทย์ก็ได้ตอบข้อชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 11 ว่าจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสนาม/กรรมการสโมสถาฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี โดยจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสนาม/กรรมการ สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี อีกทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่เคยได้โต้แย้งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องนี้มาก่อน
พยานหลักฐานดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ นั้น จำเลยที่ 1 เป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ปรึกษาทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และผู้จัดการสนามสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร โดยจำเลยที่ 2 เป็นเลขานุการสมาคมสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และเป็นผู้จัดการสนามและกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ซึ่งการดำรงตำแหน่งดังกล่าวของจำเลยทั้งสอง ย่อมทำให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้มีตำแหน่ตำแหน่งหน้าที่เกี่ยวข้องกับสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร สโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ถึงแม้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรหรือผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟชี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ก็ตาม
@ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนัก
ข้อกล่าวอ้างและพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่นำสืบมาทั้งหมด จึงไม่มีน้ำหนัก ไม่สามารถรับฟังไปหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาทั้งหมดจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 จัดทำรายงานเสนอและมีความเห็นเสนอให้จำเลยที่ 1 พิจารณาอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร พิพาท ประจำปี พ.ศ. 2553 ถึง 2555 เพื่อให้ประโยชน์แก่สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน ที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโรชน์สำหรับประชาชนในท้องถิ่น โครงการฯ พิพาททั้ง 3 โครงการ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ที่จะสนับสนุนเงินงบประมาณให้ได้ โดยก่อนที่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร จะขอสนับสนุนเงินจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรไปให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี นั้น ทางทีมสโมสรทั้งสองต้องจัดทำโครงการและรายละเอียดค่าใช้จ่ายไปให้คณะกรรมการสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ใช้พิจารณาในการจัดสรรเงินสนับสนุนและแหล่งที่ให้เงินสนับสนุนก่อน
จำเลยทั้งสองย่อมร่วมกันรู้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ให้แก่สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ที่จำเลยที่ 1 เป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ที่ปรึกษาทีมสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี และผู้จัดการสนามสโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร จำเลยที่ 2 เป็นเลขานุการสมาคมสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และเป็นผู้จัดการสนามและกรรมการสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี อยู่ด้วยแล้ว สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ต้องนำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปจ่ายให้แก่สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร และหรือสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี ที่จำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งอันสำคัญดังกล่าว
อีกทั้งเมื่อสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าวไปแล้วก็ได้นำไปจ่ายให้แก่สโมสรฟุตบอล ทีที่เอ็ม เอฟซี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการทีม เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา ซึ่งมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ค่าที่พัก และค่าเดินทาง ซึ่งการใช้จ่ายดังกล่าวมีลักษณะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสโมสรฟุตบอลพิพาททั้งสองโดยตรง ซึ่งดำเนินการในทางเชิงธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มบุคคล อันไม่ใช่เป็นการจัดทำบริการสาธาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นส่วนรวม การดำเนินกิจกรรมของสมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร และสโมสรฟุตบอลทีทีเอ็ม เอฟชี พิจิตร รวมถึงสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี จึงไม่ใช่เรื่องของการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ที่จะอนุมัติเงินงบประมาณอุดหนุนให้ได้
การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับคนเลงหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพิจิตร สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟชี พิจิตร และสโมสรฟุตบอลพิจิตร เอฟซี กระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามฟ้อง เมื่อการกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 152 ซึ่งเป็นบทความผิดโดยเฉพาะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องวางบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบทความผิดโดยทั่วไปอีก
@ พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 9 ปี 12 เดือน-จำเลยที่ 2 6 ปี 6 เดือน 60 วัน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) 152 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 126 (1), 186, 172 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 152 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 126 (1), 186 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86, และตามมาตรา 172
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมคนละ 3 กระทง และแต่ละกระทงความผิดนั้นเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี
ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานทีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน
ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองและคำให้การในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นบางส่วน มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 สมควรลดโทษให้คนละกระทงละหนึ่งในสาม จำเลยที่ 1 คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง คงเป็นจำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 2 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 2 เดือน 20 วัน รวม 3 กระทง คงเป็นจำคุก 6 ปี 6 เดือน 60 วัน