ตร.สอบสวนกลางสรุปคดีดิไอคอนฯ เสียหายแล้ว 2,170 คน มูลค่ารวม 841 ล้านบาท ดึงบก.ปอศ.ร่วมทำคดีด้านคริปโต ทำการยึดทรัพย์แล้ว 210 ล้านบาท ส่วนการทำคดี ‘ดีเอสไอ’ มีบทบาทในการช่วยเหลือด้านการสืบทรัพย์ ไม่ได้แย่งทำคดี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. ร่วมแถลงความคืบหน้าดิไอคอนกรุ๊ป
@ผู้เสียหายพุ่ง 2,170 คน มูลค่ากว่า 841 ล้าน
โดย พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ภาพรวมการรับแจ้งความจนถึงตอนนี้มีผู้เสียหาย 2,170 ราย มูลค่าความเสียหาย 841 ล้านบาท ในวันนี้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ได้กำชับตำรวจหน่วยงานต่างๆทั่วประเทศ ให้รับแจ้งความโดยยึดต้นแบบของตำรวจสอบสวนกลาง ในการดำเนินการจัดทำศูนย์รับแจ้งความให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ โดยเน้นย้ำว่าการรับแจ้งของประชาชนให้ถือเป็นเรื่องสำคัญจะไม่มีการบ่ายเบี่ยงไม่รับแจ้งความโดยเด็ดขาด หากมีกรณีไม่รับแจ้งความจะถูกดำเนินการทางวินัยและจะมีการดำเนินการในด้านของการบริหารงานบุคคลอีกด้วย ฝากประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาที่บช.ก. สามารถไปแจ้งความยังจุดที่อยู่ตามภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัยหรือจุดที่สะดวกในทุกท้องที่
ขณะนี้ยังมีการรับแจ้งความอย่างต่อเนื่อง ส่วนระยะเวลาในการฝากขังเป็นไปตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย 4 ฝาก 48 วัน เชื่อว่าจะสามารถทำงานได้ทัน หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนยังประเมินพยานหลักฐานที่แสวงหามาได้อยู่ รวมถึงคำให้การของพยานบุคคลที่เข้ามาเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนได้มีการคัดแยกแบ่งผู้เสียหายออกเป็นกลุ่ม หากมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเรื่อยๆเชื่อว่าจะไม่กระทบกับรูปคดีและพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้ โดยผู้เสียหายสามารถรวบรวมหลักฐานการโอนเงินข้อความแชทที่มีการติดต่อขอให้รวบรวมไว้และรีบดำเนินการมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนโดยเร็ว
@ดึง บก.ปอศ.ร่วมทำคดีด้านคริปโต - ยึดทรัพย์แล้ว 210 ล้าน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจากการที่ บอสพอล ขอให้ปากคำเพิ่มเติม รวมไปถึงกระแสข่าวที่มีนอมินีให้เข้ามาแจ้งความจะเป็นการดึงเวลาให้ทำสำนวนล่าช้าหรือไม่นั้น พล.ต.ต.โสภณ ระบุว่า เชื่อว่าสามารถทำได้ทันแน่นอนพร้อมย้ำอีกว่า ทาง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้จัดเจ้าหน้าที่ในการสืบทรัพย์ และเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องคริปโต โดยได้มอบหมายให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ที่มีความชำนาญในเรื่องทำคดีเกี่ยวกับสินทรัพย์และคริปโต ให้เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือพนักงานสอบสวนด้วยอีกส่วนหนึ่ง
“เท่าที่ทราบทรัพย์สินที่ยึดมามีรถจำนวน 24 คันเงินสด 7.5 ล้านบาท, นาฬิกา 51 เรือน, กระเป๋าแบรนด์เนมและสินค้าแบรนด์เนมมีจำนวนมาก โดยรวมสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 210 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง และยอมรับว่ามีผู้ต้องหาบางรายได้ทำการยักย้ายถ่ายเทจำหน่ายถ่ายโอนทรัพย์สิน ในส่วนนี้ก็จะมีความผิดเพิ่มเติมในเรื่องของการฟอกเงินด้วย“ พล.ต.ต.โสภณกล่าว
@ดีเอสไอเข้ามาช่วย ไม่ได้แย่งทำคดี
เมื่อถามต่อว่าจากการที่สังคมตั้งคำถามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะแย่งทำคดีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ มองว่าดีเอสไอ เข้ามาช่วยในเรื่องของการสืบทรัพย์ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยดำเนินการทางคู่ขนานกัน หากหลังจากนี้พบว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ก็จะส่งมอบให้ทางดีเอสไอ ทางตำรวจจะส่งสำนวนให้ทางดีเอสไอเอง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการทำงานร่วมกับปปง. ในการรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนนี้ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการประสานให้ทางผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นสำนักอัยการสูงสุด, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค, อย.ด้วย รวมไปถึงสรรพากรด้วย
ส่วนความคืบหน้าการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องล็อตที่ 2 นั้น ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นดารา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือแม้แต่พระสงฆ์ หากตรวจสอบพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิด ตำรวจก็จะดำเนินคดีทั้งหมดไม่ละเว้น ซึ่งกรณีที่มีคนมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับพระรูปหนึ่งนั้น ตำรวจก็จะรับเรื่องตรวจสอบ แต่ขณะนี้ตนเองยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดหลักฐานที่มีการแจ้งความ