ผบ.ตร.เผยสอบปากคำผู้เสียหาย ‘ดิไอคอน’ แล้ว 900 ราย มูลค่ารวมกว่า 400 ล. เตรียมแจ้งข้อหาในสิ้นเดือน พร้อมส่งต่อ ปปง.อายัดทรัพย์ ส่วนคลิปเสียงส่งพิสูจน์หลักฐานสืบหาเทวดา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี 'ดิไอคอน' นานกว่า 2 ชั่วโมง ว่า วันนี้มาติดตามความคืบหน้าในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งตนพอใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งมีการตั้งทีมบริหารคดีขึ้นมา
ตอนนี้พบว่า การสอบสวนมีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในการสอบปากคำผู้เสียหาย และการไปตรวจค้นเพื่อรวบรวมพยานเอกสารและพยานวัตถุ ส่วนรายละเอียดในคดีที่ว่าจะมีการออกหมายจับหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เชื่อว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่การจะออกหมายจับต้องรอบคอบรัดกลุ่ม
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า อย่างที่เห็นว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาได้มีการมาแสดงตน พร้อมกับมีทนายความมาด้วย ซึ่งตำรวจไม่ได้วิตกกังวล แต่ก็ต้องทำคดีให้รอบคอบรัดกุมแน่นหนา การจะขอศาลอนุมัติออกหมายจับจะดำเนินการพิจารณาต่อไปในอนาคต หลังการสอบสวนให้ครบทุกองค์ประกอบ แต่ยืนยันว่าหากพบความผิดก็ดำเนินการทันภายในเดือนนี้แน่นอน
ทั้งนี้ การมาแสดงตัวของผู้ถูกกล่าวหาเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำไว้ฐานะผู้ต้องหา แต่ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องทรัพย์สินได้มีการทำหนังสือถึง ปปง. ตั้งแต่แรก เพราะตำรวจเข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน แต่ตำรวจไม่มีอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ ทั้งนี้ ทราบว่า ปปง. จะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการธุรกรรมในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ซึ่งตำรวจก็รอฟังผลอยู่เหมือนกัน ซึ่งที่แจ้ง ปปง. ไป ก็เพราะมีความคิดว่าจะมีการถ่ายโอนทรัพย์สินหรือไม่
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวถึงเรื่องรายละเอียดคดีว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันว่าจะทำเต็มความสามารถ ตอนนี้มีการสอบสวนไปกว่า 900 คนแล้ว มีผู้เสียหายมาลงทะเบียนเกือบ 1,100 คน รวมมูลค่าทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 400 ล้าน ดังนั้น การเดินหน้าเรื่องนี้จะทำเต็มที่ เพราะเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้น เข้าใจประชาชนที่สูญเสียเงินทอง จะยืนเคียงข้าง ไม่ทอดทิ้ง ระดมพนักงานสอบสวนเกือบ 100 คนมาอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียหาย
“ได้มีหนังสือวิทยุราชการแจ้งไป 3 ครั้งแล้ว กำชับให้ทุกสถานีตำรวจอำนวยความสะดวกในการรับแจ้งความเบื้องต้น โดยให้ บก.ปคบ. กำหนดประเด็นไปให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำ ฝากถึงพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่ ถ้าไม่ดำเนินการตามแนวทางนโยบายที่กำหนดไปแล้วมีพยานหลักฐานว่าไม่รับแจ้งความ จะดำเนินการทางวินัยทั้งหมด” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวย้ำ
ส่วนคดีนี้จะเข้าข่ายคดีพิเศษหรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานว่าจะเข้าเงื่อนไขหรือไม่ หากเข้าข่าย ยังมีเวลาในการดำเนินการอยู่ ขณะที่ประเด็นเรื่องนักการเมืองที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ขอไม่เปิดเผย เพราะเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี แต่ยืนยันว่า หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องในการสนับสนุนธุรกิจนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ก็พร้อมที่จะดำเนินคดีทุกคนที่เกี่ยวข้อง แม้แต่ตำรวจ ส่วนแม่ข่าย ได้สอบสวนไว้เป็นพยาน แต่ต่อไปหากพบความผิดก็เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีละเว้นสักราย
ตอนนี้ตำรวจทำงานโดยยึดตามหลักกฎหมาย เคียงข้างประชาชน หากจะฟ้องกลับ ไม่ต้องไปฟ้องผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ฟ้องตนเลยเพียงคนเดียว แต่อยากให้มีสำนึกในเรื่องที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาพบตำรวจมีทนายความมาด้วยแต่ผู้เสียหายไม่มีที่พึ่ง ไม่มีทนายความตำรวจนี่แหละคือทนายความของผู้เสียหาย
แพทยสภา แจ้งเอาผิด บอสหมอเอก แอบอ้างเป็นหมอ
ในวันเดียวกันนี้ นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย พล.อ.อ.นพ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา และ ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนและบริการสุขภาพ เดินทางเข้าแจ้งความเอาผิด ดร.ฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก ที่แอบอ้างเป็นหมอ
นายกองตรี ดร.ธนกฤต เปิดเผยว่า กรณีบอสหมอเอกแสดงตนเป็นหมอ มีการเผยแพร่ภาพและคลิปผ่านสื่อโซเชียลในขณะตรวจผู้ป่วย ทำให้เกิดความสับสนและทำให้เกิดความไม่สบายใจในสังคม กระทั่งมีผู้มาร้องที่กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทางเลขาธิการแพทยสภาจึงประสานมาที่กระทรวงสาธารณสุขโดยตรง
ทั้งนี้ ได้มีการสอบถามไปยังแพทยสภา ยืนยันแล้วว่าบอสหมอเอกไม่มีชื่ออยู่ในระบบของการเป็นนายแพทย์ หากไม่ปรากฏชื่อในแพทยสภาก็ถือเป็นหมอเถื่อน และเท่าที่ทราบตัวบอสหมอเอกเรียนจบเทคนิคการแพทย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาประกอบอาชีพเกี่ยวกับเวชกรรม หรือรักษาคนได้แบบหมอ จึงเดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดบอสหมอเอก ความผิด ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรื่องสถานที่ที่ใช้ในการตรวจรักษา ก็จะต้องดำเนินการในส่วนของ พ.ร.บ. สถานพยาบาล ฐาน ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยวันพรุ่งนี้จะลงพื้นที่ตรวจสถานพยาบาลและคลินิกดังกล่าวจำนวน 2 จุด ว่ามีการขออนุญาตหรือไม่
ขณะที่ พล.อ.อ.นพ. อิทธิพร กล่าวว่า เมื่อวานที่ผ่านมา แพทยสภาได้เดินทางเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีกรณีบอสหมอเอกที่แอบอ้างเป็นแพทย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการเฉพาะตัวบุคคล แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีความผิดที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.สถานพยาบาลด้วย จึงได้ประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากเมื่อมีการเปิดรักษาก็ต้องมีการใช้สถานพยาบาลด้วย กรณีดังกล่าวจึงมีความเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม กรณีเป็นแพทย์เถื่อน และพ.ร.บ.สถานพยาบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการคู่ขนานไปกับแพทยสภา ส่วนเรื่องของใบประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ของบอสหมอเอกซึ่งเป็นสาขาที่เรียนจบมานั้น คาดว่าปัจจุบันน่าจะหมดอายุไปแล้ว โดยจะต้องตรวจสอบกับทางสภาเทคนิคการแพทย์อีกครั้ง
ทีมทนายพาผู้เสียหายกว่า 100 รายเข้าแจ้งความ
ต่อมาเวลา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อมด้วยทีมทนาย พาผู้เสียหายกว่า 100 ราย ในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป มาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารทุกรายในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และความผิดฐานฟอกเงิน
นายษิทรา กล่าวว่า ทีมทนายได้มีการรวมตัวกันอาสาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งในวันนี้ได้พาผู้เสียหายกว่า 100 รายมาเข้าพบพนักงานสอบสวน และ คาดว่าจะมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยให้ทนายแต่ละคนดูแลผู้เสียหายประมาณ 10 กว่าคน ซึ่งจะดูแลตั้งแต่วันแจ้งความ จนกว่าคดีจะไปถึงศาลหรือได้รับเงินเยียวยาคืน เจตนาที่มาในวันนี้ต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจึงมีการปรึกษากับกลุ่มทนาย เพราะเกรงว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินทำให้ผู้เสียหายจะไม่ได้รับเงินคืน นอกจากนี้เมื่อวานตนได้ดูรายการโหนกระแสที่บอสพอลได้ร้องไห้เหมือนเรียกดราม่า แต่เมื่อไปดูอีกรายการหนึ่งของ The standard ก็ยังไม่ได้ท่าทีรับผิด และยังแสดงถึงลักษณะการต่อสู้คดีของบอสพอล ที่พยายามจะโยนคดีต่างๆไปให้กับทางแม่ข่าย
“ฉะนั้นหากแม่ข่ายคิดว่าจะเดือดร้อนให้รีบออกมาบอกข้อมูลกับตำรวจ ไม่เช่นนั้นพวกแม่ข่ายจะกลายเป็นแพะ เหมือนสโลแกนของเขาที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะจะนำมาเป็นผู้ต้องหาทั้งหมด” นายษิทรา กล่าว
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา กล่าวว่า ล่าสุดมีความคืบหน้าทางคดี ทราบมาว่าแม่ข่ายมีการพยายามอัดคลิปข่มขู่พยาน โดยอ้างว่าจะดำเนินการฟ้องกลับ และข่มขู่ว่าหากใครมาแจ้งความจะเอาเข้าคุกให้หมด แต่ก่อนที่จะเอาผู้เสียหายและตนเข้าคุก อยากจะถามว่ามึงหรือกูที่จะติดคุก
ขณะที่นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ หรือทนายรณรงค์ กล่าวว่า ทางมูลนิธิฯของตนมีการรวบรวมผู้เสียหายได้แล้วประมาณ 1,200 ราย โดยเมื่อประมาณช่วงกลางปี 67 ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจาก บริษัทดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด ประมาณประมาณ 3 ราย เข้ามาปรึกษาตนที่มูลนิธิฯ และมีการบันทึกภาพไว้จากนั้นก่อนที่จะมีคดี กลุ่มผู้เสียหายมีการแจ้งกลับมาหาตนว่ามีการให้ บริษัทดังกล่าวเคลียร์เงินคืนครึ่งหนึ่ง แต่มีค่าประสานงานด้วยมากถึง 7 หลัก และมีนักรับจ้างประสานงานไกลเกลี่ยอีก หลังจากนั้นปรากฏว่าคดีดังกล่าวหลักๆ ของกองบัญชาการตำรวจสอลสวนกลาง คือไม่กล้ายึดทรัพย์ผู้กระทำความผิด เหมือน DSI ถ้าต้องการยึดทรัพย์สินต้องโอนคดีไป DSI และอยากจะบอกประชาชนที่กำลังกลัวว่า ไม่ต้องกลัวและเหตุผลหนึ่งที่ไม่เคยเห็นข่าวของบริษัทนี้เลยเพราะมีเอกสารฉบับหนึ่ง จาก สคบ. ตีคดีนี้ไว้ว่าไม่ใช่หน้างานของเขา ทำให้กลายเป็นคดีแพ่ง และอยากให้ตำรวจตรวจสอบ 5 ปีย้อนหลังหน่อยว่า ทุกโรงพัก มีเคสที่มาแจ้งความกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวว่า ตนจะนำตัวบุคคลที่เคยทำงานเบื้องหลังให้กับบริษัทไปให้ข้อมูลกับตำรวจเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวของผบช.ก. อยากให้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏชัดเจน เพราะมองว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าใครก็ตาม ระดับไหนก็ตามที่ไปรับเงินในส่วนนี้ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าวันนี้ยังมีใครโทรศัพท์มาหาตนเพื่อให้ไม่พูดถึงใครตนจะเอ่ยชื่อทันที และฝากไปยังแม่ข่ายและบอส 3 คนที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญกับเรื่องนี้
“การที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาตนเชื่อว่าคลิปเสียงดังกล่าวไม่ได้หลุดออกมาจากฝั่งเทวดาที่มีการรับเงินอยู่ แล้วการเจรจาระหว่างเทวดากับบอสพอล น่าจะมีการบันทึกเสียงไว้ ซึ่งตั้งแต่คลิปเสียงดังกล่าวหลุดออกมาทางบอสพอลเองก็ไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกัน” นายเอกภพ ระบุ
นายเอกภพ กล่าวต่อว่า ฝากไปถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาล ทั้งรัฐบาลชุดก่อนและรัฐบาลชุดปัจจุบันให้หยุดการกระทำ ที่เรียกรับผลประโยชน์และไม่ต้องให้หน้าเสื่อไปติดต่อเคลียร์ปัญหาต่างๆแทน และฝากไปถึงผู้ใหญ่ใน สคบ. ด้วยหากเปิดเผยขึ้นมาจะหน้าหงายกันหมดและฝากบอกไปยังตำรวจบางหน่วยงานที่รับเครื่องเซ่น อยู่ให้หยุดกระทำเสีย เข้าใจว่าวันนี้เทวดาเก่ง มีความสามารถในการเคลียร์ปัญหาได้ ซึ่งบอกได้เพียงว่าเป็นเทวดาผู้ชาย และก่อนหน้านี้มีการให้ ให้รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นหน้าเสื่อคอยคุยเรื่องนี้ ทั้งนี้มีบางคนในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทราบว่าเทวดาที่อยู่ในคลิปเสียงดังกล่าวคือใคร
ด้านนายเอ (นามสมมติ) พยานปากสำคัญ ซึ่งเคยเป็นบุคคลที่ทำงานกับบริษัทดิไอคอน และดูแลระบบหลังบ้าน เปิดเผยว่า ตนเองมีข้อมูลและจะนำจะนำข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินกับบุคคลบางคนที่เรียกว่า เทวดา ส่วนจ่ายเงินแบบไหนนั้น พยานระบุว่า จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จ่ายไปหลักหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเทวดามีหลายคน และเทวดาจะคุ้มครอง4หน่วยงานหลัก สคบ.,ปคบ.,ดีเอสไอ,สอท. โดยเทวดาเป็นคนนำเงินไปจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานเอง แต่เทวดาไม่ได้รับโดยตรง ซึ่งจะมีหน้าเสื่ออีกที
ส่วนประเด็นการเปลี่ยนรัฐบาลแล้วเปลี่ยนเทวดาด้วยหรือไม่ นายเอ กล่าวว่า ไม่ขอตอบ ขอให้ข้อมูลกับตำรวจ ทั้งนี้เหตุผลที่ตัดสินใจออกมาให้ข้อมูล เพราะไม่อยากให้ประชาชนโดนเอารัดเอาเปรียบไปมากกว่านี้
ส่งคลิปเสียงให้พิสูจน์หลักฐาน สืบตามหาเทวดา
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึงกรณีที่มีคลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์จากบอสพอล บริษัท The Icon Group ที่กำลังตกเป็นประเด็นถูกดำเนินคดีในขณะนี้ จากบุคคลที่เชื่อว่าเป็นถึงนักการเมืองชื่อดังรายหนึ่ง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า จากคลิปเสียงที่ทางตำรวจ บก.ปปป. ได้มา เบื้องต้นทางตำรวจได้ส่งคลิปเสียงให้พิสูจน์หลักฐานไปดำเนินการตรวจอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเสียงมนุษย์พูดคุยจริง ๆ หรือเสียงสังเคราะห์ AI เลียนเสียงคนอื่นและเป็นเสียงตัดต่อหรือไม่ รวมทั้งให้ฝ่ายสืบสวน บก.ปปป. ทำการรวบรวมข้อมูลตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของคลิปเสียง เนื่องจากอาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย เพราะมีการพูดคุยเพื่อเรียกรับเงิน ซึ่งหากสามารถทราบตัวเจ้าของคลิปเสียงได้ ก็อาจจะเชิญมาให้ปากคำ แต่ตอนนี้ขอไม่ยืนยันว่าใครเป็นเจ้าของคลิปเสียง รวมทั้งยังไม่สามารถระบุได้ว่า คลิปเสียงนี้จะใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ต้องรอผลจากพิสูจน์หลักฐานก่อนว่าเสียงมนุษย์คุยจริง ๆ หรือเสียงสังเคราะห์ AI และตัดต่อเสียงหรือไม่
ส่วนกรณีที่มีการเปิดโปงว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัท The Icon โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับทางธุรกิจ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เรื่องนี้มองว่ายังไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นหน้างานของ บก.ปคบ. เพราะจะมีผลต่อรูปคดีที่กำลังทำอยู่และตามขั้นตอนแล้ว ก็จะมีการส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. และ ปปท. ดำเนินการตรวจสอบ แต่ทั้งนี้ หากผู้เสียหายรายใดมีข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับผลประโยชน์ ก็สามารถนำมาแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปปป. ได้
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงกรณีที่บอสพอลยอมรับในรายการโทรทัศน์และการสัมภาษณ์ต่าง ๆ ว่า คลิปเสียงที่หลุดออกมานั้นเป็นของจริงและมีการเรียกรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ ถือว่าเป็นการยอมรับแล้วว่าคลิปเสียงเป็นของจริง จึงต้องเชิญมาพูดคุยกับ บก.ปปป. ว่า ประสงค์ที่จะแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ เบื้องต้นจะเป็นการติดต่อพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัด
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุอีกว่า จากคลิปเสียงที่พูดถึงองค์กรเทวดาที่จะสามารถเข้ามาให้การช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจดังกล่าวได้ โดยจะต้องมีการบูชาเซ่นไหว้เทวดา มองว่า ไม่ได้เป็นการบูชาเทวดา แต่เป็นเพียงข้ออ้างเปรียบเปรยของมนุษย์ที่ทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ทุจริต มองว่าถ้าเจ้าหน้าที่เป็นเทวดา ตำรวจก็จะไปบวงสรวง คือไปจับกุมมาดำเนินคดี ต่อให้เป็นเทวดา ก็ไม่กลัวและไม่มีข้อละเว้นที่จะต้องถูกดำเนินคดี
กบ ไมโคร ยอมรับตัวเองเป็นแม่ข่าย มีลูกทีม8คน
นอกจากนี้ นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักดนตรีวงดัง ได้เดินทางมาให้ข้อมูลกับตำรวจด้วยเช่นกัน พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะมีประเด็นที่เป็นไวรัลอยู่ในกระแสอินเทอร์เน็ต ว่า ตนเป็นผู้ร่วมขบวนการ หรือเป็นผู้เสียหายกันแน่ เมื่อถามว่าวันที่ตนขึ้นเวทีกับผู้บริหารของดิไอคอนฯนั้นคลิปที่หลุดออกมาเป็นกาาเข้าร่วมงานช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เป็นการขึ้นไปในหัวข้อ Rising Star ขอยืนยันว่าไม่ใช้สคริปต์ที่บอกให้คนอื่นรู้ว่าธุรกิจนี้เปลี่ยนชีวิตอย่างไร
นายไกรภพ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้ร่วมลงทุนธุรกิจนี้ เพราะว่าเชื่อมั่นในตัวเลขผลประกอบการของบริษัทที่มียอดขายมากกว่า 4,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ขอยืนยันว่าตอนนั้นขึ้นเวทีด้วยนั้นไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด เพราะบริษัทเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การแบ่งบัน’ ส่วนกรณีภาพปรากฎว่าตนไปท่องเที่ยวทริปฝรั่งเศสด้วยนั้น มันเป็นทริปโปรโมชั่นสำหรับ 10 ดิลเลอร์ ซึ่งตนเองเปิดไว้ 5 ดีลเลอร์ ภรรยา 2 ดีลเลอร์ และคนในบ้านอีก 3 ดีลเลอร์ มูลค่ารวมกันแล้ว กว่า 2 ล้านบาท
นายไกรภพ กล่าวถึงการเปิดไปถึง 10 ดิลเลอร์ว่า ช่วงแรกก็ขายพอได้ แต่ช่วงหลังๆ นั้นขายไม่ได้เลย จะมีเฉพาะกับคนที่รู้จักเท่านั้น สุดท้ายพอสินค้าใกล้จะหมดอายุก็เริ่มลดราคา จนถึงขั้นนำไปถวายพระ หรือให้คนรู้จัก
“ผมยอมรับว่าเป็นแม่ทีม โดยอยู่ในบริษัทดังกล่าวประมาณหนึ่งปีนิดๆ ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าแม่ทีมด้วยซ้ำ รู้เพียงแค่ว่าเป็นธุรกิจแบบแฟรนไชส์ ลักษณะการทำงานเป็นแบบ “ไม่เถียง ไม่ถาม ทำตามอย่างเดียว” เมื่อมีคำสั่งออกมาเราก็ต้องทำตามที่สั่งเท่านั้น” นายไกรภพ กล่าว
นายไกรภพ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ต้องออกจากธุรกิจดังกล่าวเป็น เพราะลูกข่ายที่ตามมานั้นไม่สามารถขายของได้ ถึงจะพยายามทุกความสามารถ ทุกช่องทางการขาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะขายได้ จึงตัดสินใจที่จะออกจากธุรกิจนี้เมื่อช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 ก่อนออกมาหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้อย่างจริงจัง จนพบความไม่ชอบมาพากล หากรู้ว่าเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ หรือเครือข่ายก็บอกได้เลยว่าไม่มีใครที่อยากร่วมทำธุรกิจแบบนี้อย่างแน่นอน
“ยอมรับว่าบริษัทดิไอคอนมีปัญหามานานแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าที่จะออกมาพูดเนื่องจาก คนที่ออกพูดก็จะถูกฟ้องร้องกลับ เพราะตอนนี้มีผู้โดนฟ้อง คดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว จะมีคำตัดสินในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ด้วย” นายไกรภพ ระบุ
นายไกรภพ กล่าวถึงบิ๊กบอส ว่า มีเพียงคนเดียวก็คือ บอสพอล แต่จะมีบอสระดับรองลงมาอีก 10 คน ซึ่งตนเพิ่งรู้ว่ามันเป็นธุรกิจแบบเครือข่าย เพราะตอนแรกคิดว่าเป็นธุรกิจแบบออนไลน์เท่านั้น วันนี้ลูกทีมของตนทั้งหมดได้มอบอำนาจให้มาแจ้งความดำเนินคดี เพราะยังต้องการเงินคืน แต่ตนนั้นยืนยันว่าไม่อยากได้เงินคืนแน่นอน