ป.ป.ช.ลงมติ 3 ต่อ 2 เสียง ชี้มูลความผิด 'กิจ หลีกภัย' อดีตนายก อบจ.ตรัง พี่ชายชวน-พวก กรณีจัดซื้อที่ดินเพื่อทำท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือแพงเกินจริง เผยชั้นไต่สวนมีผู้ถูกกล่าวหา 13 ราย มีกลุ่มขรก.-จนท.- ตัวแทนประชาคม-เอกชน แต่ยังไม่รู้ใครโดนด้วยบ้าง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ชี้มูลความผิด นายกิจ หลีกภัย (พี่ชายนายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อบจ.ตรัง กับพวก กรณีการจัดซื้อที่ดินเพื่อทำท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือ (ท่าเรือตรัง) ต.นาเกลือ อ.กันตัง จ.ตรัง มีราคาสูงเกินจริง
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อย 2 เสียง คือ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ นาย วิทยา อาคมพิทักษ์
รายงานข่าวแจ้งว่า เกี่ยวกับคดีนี้ในชั้นไต่สวน มีผู้ถูกกล่าว จำนวน 13 ราย นอกจาก นายกิจ หลีกภัย อดีตนายก อบจ.ตรัง แล้ว ยังมีกลุ่มข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนประชาคม และเอกชนด้วย แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันว่า นายกิจ หลีกภัย ถูกชี้มูลความผิดทางอาญามาตราใด และพวกที่ถูกชี้มูลความผิดเป็นใครบ้าง
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะมีคำพิพากษาชี้ขาด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 9 เคยเปิดแถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนคดีสำคัญ ซึ่งรวมถึงคดีการจัดซื้อที่ดินเพื่อทำท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือด้วย ระบุว่า ท่าเรือนาเกลือของอบจ.ตรัง ที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ บริเวณหมู่ 2 ต.เกลือ อ.กันตัง ที่อบจ.ตรังในยุคของนายกิจ หลีกภัย พี่ชายนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกอบจ.ตรังเป็นฝ่ายออกงบประมาณสำหรับการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างท่าเรือพาณิชย์ขนถ่ายสินค้า โดยท่าเทียบเรือมีความยาว 185 เมตร ความกว้าง 29 เมตร รองรับเรือขนาด 4,000 ตันกรอส จอดได้ครั้งละ 2 ลำ ซึ่งอบจ.ตรัง ได้เช่าอาคารราชพัสดุ ตั้งอยู่ต.นาเกลือ อ.กันตัง จ.ตรัง กับกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ จำนวน 7 รายการ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ อาคารคลังสินค้า อาคารซ่อมบำรุง อาคารด่านตรวจ 2 ป้อมยาม อาคารสำนักงาน และอาคารห้องเครื่อง เพื่อดำเนินกิจการสนับสนุนการส่งออกสินค้า อาทิ ข้าวโพดแห้ง มะพร้าวแห้ง ปูนซีเมนต์ ไม้ยางพาราแปรรูป แร่ ยิปซั่ม บุหรี่ เป็นต้น โดยใช้งบประมาณของกรมเจ้าท่าก่อในการก่อสร้างกว่า 406 ล้านบาท
จากนั้นคืนให้กรมธนารักษ์ และอบจ.ตรังได้เข้าไปทำสัญญาเช่าปีละ 1,000,000 บาท เพื่อดำเนินการดูแลและบริหารจัดการ โดยเริ่มเช่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และสิ้นสุดสัญญาเช่าในเดือนกันยายน 2561 และมีการขอต่อสัญญาเช่าอีก 7 ปี 3 เดือน (1 ตุลาคม 2561-31 ธันวาคม 2568) รายได้หลักมาจากการเก็บค่าบริการท่าเรือ ซึ่ง อบจ.ตรัง อยู่ในระหว่างขอลดอัตราค่าเช่ากับกรมธนารักษ์ เนื่องจากมีผู้มาใช้บริการน้อยลง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาการบริหารท่าเรือนาเกลือขาดทุนทุกปี
ปี 2560 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม–ธันวาคม 2560 ขาดทุนถึง 4,120,000 บาท ทั้งนี้ในปัจจุบันยังคงอยู่ในสภาพเงียบเหงา ไม่มีเรือสินค้าเข้า-ออก ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานในอาคารสำนักงาน มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแล ทั้งนี้นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายกฯอบจ.ตรังคนปัจจุบันได้มีนโยบายฟื้นฟูการดำเนินการของท่าเรือนาเกลืออีกครั้ง โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนศึกษาวางแผนของคณะที่ปรึกษา
เมื่อปี 2550 กรมเจ้าท่าต้องการก่อสร้างท่าเทียบเรือให้กับจังหวัดตรัง โดยจะพิจารณาจากความพร้อมขององค์กรปกครองท้องถิ่นโดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ซึ่งขณะนั้นอบจ.ตรังไม่มีที่ดิน แต่มีความต้องการให้มีท่าเทียบเรือ จึงทำเรื่องเพื่อแสดงทรัพย์สินและความพร้อมยินดีให้มีการก่อสร้างไปยังกรมเจ้าท่า ขณะเดียวกันระหว่างนั้นในปี 2549-2550 อบจ.ตรังจึงทำการซื้อที่ดินในพื้นที่ หมู่ 2 และ 3 ต.นาเกลือ อ.กันตัง ในวงเงินกว่า 30 ล้านบาท และที่ดินอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ดินบริจาค นอกจากนี้ยังพบว่าอบจ.ตรังในขณะนั้น ได้ตั้งงบประมาณปี 2560 อีกวงเงิน 63 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินเพิ่มอีก 30 ไร่ เป็นที่ดินติดท่าเรือ
โดยมีราคาประเมินที่ดินไร่ละ 40,000 บาท แต่ อบจ.ซื้อเฉลี่ยไร่ละ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาแพงเกินความเป็นจริง เเละที่ดินที่จะซื้อซึ่งเป็นที่ดินของผู้ขายเดิมนั้นอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้าราชการที่เป็นคณะกรรมการจัดซื้อในยุคนั้นจึงไม่ยอมเซ็นต์ โดยให้เหตุผลว่าที่ดินดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 และ น.ส.3ก. ซึ่งตามระเบียบพัสดุจะต้องเป็นที่ดินที่มีอาณาเขตแน่นอน และชัดเจน หรือ เป็นโฉนดที่ดิน เพราะที่ดิน น.ส. 3 ถือว่ายังไม่มีอาณาเขตที่ชัดเจนแน่นอน ต่อมาในปี 2561 ดาบตำรวจชัยวัฒน์ เส้งนุ้ย รองประธานสภาอบจ.ตรังในขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามจัดเก็บรายได้และทรัพย์สินของอบจ.ตรัง และเป็นผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ได้ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง ให้ทำการสืบสวนสอบสวน
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวแจ้งว่า อบจ.ตรัง มีการจัดซื้อที่ดิน 2 ครั้ง นายกิจ หลีกภัย และพวก ถูกชี้มูลความผิดในการจัดซื้อที่ดินครั้งที่ 2