"...จําเลยดํารงตําแหน่งข้าราชการระดับผู้บริหารของสํานักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการยื่น บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินโดยตรง และรู้อยู่ก่อนแล้วเกี่ยวกับการมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของคู่สมรสควรต้องตรวจสอบการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวว่ามีผลในทางกฎหมายแล้วหรือไม่ อย่างไร และ ย่อมต้องทราบว่านางธนิภายังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีบัญชีเงินฝากและเงินกู้ในขณะจําเลยยื่น บัญชีฯ..."
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษาคดีนายประหยัด พวงจำปา อดีต อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถูกกล่าวหายื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จฯ จำนวนเงิน 227 ล้านบาท
โดยศาลฯ มีคำพิพากษาตัดสินว่า นายประหยัด มีความผิดจริง ฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จมีผลให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย ห้ามมิให้จำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็น เวลา 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง มีโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษาในคดีนี้ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ที่เผยแพร่เป็นทางการต่อสาธารณชน
************
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2566 เวลา 11.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่าน คําพิพากษาคดีหมายเลขดําที่ อม.1/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2566 ระหว่าง อัยการสูงสุด (อสส.) โจทก์ (ฟ้องแทน ป.ป.ช.) นายประหยัด พวงจําปา จําเลย ซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ใช้เวลาไต่สวนพยานโจทก์ 4 นัด พยานจําเลย 5 นัด และพยานศาล 1 นัด
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จําเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตําแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน 5 รายการ ของนางธนิภา พวงจําปา คู่สมรส ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 43, 81, 158, 167, 188, 194 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 40, 41, 42, 119 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้งของจําเลยมีกําหนดเวลาไม่เกินสิบปี ให้จําเลย พ้นจากตําแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่
จําเลยให้การปฏิเสธ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เห็นว่า จําเลยดํารงตําแหน่งรอง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของสํานักงาน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับผู้อํานวยการกองขึ้นไป
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 158 วรรคหนึ่ง มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยไม่จําต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาก่อนให้อัยการสูงสุด ดําเนินการฟ้องคดี
การออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการยื่น บัญชี การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 158 และการ ดําเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการยื่นบัญชี พ.ศ. 2561 สอดคล้องสัมพันธ์กับบทบัญญัติของกฎหมาย
ป.ป.ช.ได้รับแจ้งเบาะแส -โจทก์จึงมีอํานาจฟ้อง
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับหนังสือแจ้งเบาะแสจากสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและได้รับข้อมูลจากสํานักตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจว่า นางธนิภาต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินถือว่ามีพฤติการณ์ ที่ทําให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจดําเนินการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินหรือการได้มาซึ่งทรัพย์สิน และหนี้สินนั้น
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้โอกาสจําเลยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการชี้แจง ชี้แจงข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติม และพิจารณาเรื่องที่จําเลยร้องขอความเป็นธรรม
ถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ โอกาสจําเลยพอสมควรแล้ว มิได้เป็นการดําเนินการอย่างรวบรัด การไต่สวนและตรวจสอบทรัพย์สินของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์จึงมีอํานาจฟ้อง
บัญชีเงินฝาก ธนาคารกสิกรไทย รอด
สําหรับทรัพย์สินที่ไม่แสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รายการบัญชีเงินฝาก ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ประเภทกระแสรายวัน เลขที่ 758-1-0100X-X ชื่อบัญชี นางธนิภา พวงจําปา คู่สมรสจําเลย
นางธนิภามีคําขอผูกบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเข้ากับบัญชีเงิน ฝากออมทรัพย์ เลขที่ 758-2-0144X-X ทั้งรายการเดินบัญชีเงินฝากทั้งสองบัญชีปรากฏเงินที่โอนเข้าบัญชีฝากกระแสรายวันทุกรายการถูกโอนมาจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพื่อชําระหนี้ตามเช็ค ยอดเงินที่เคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันทุกรายการปรากฏในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้ผูกกันไว้ บัญชีเงินฝากกระแสรายวันเปิดมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี เพื่อทําธุรกรรมของกิจการภายในหมู่พี่น้องของนางธนิภา ก่อนที่จําเลยมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
โดยไม่ปรากฏว่าจําเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดําเนินกิจการดังกล่าว ทั้งยอดเงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันก็มีเป็นจํานวนน้อย และจําเลยแสดงบัญชีเงิน ฝากออมทรัพย์ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว
จําเลยจึงไม่มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินส่วนนี้
เงินลงทุนในบริษัทปาล์ม รอด
ส่วนเงินลงทุนของนางธนิภาในบริษัทปาล์ม บิซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด ในขณะที่จําเลยมีหน้าที่ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ไม่ปรากฏชื่อนางธนิภาเป็นผู้ถือหุ้น
ส่วนการมีชื่อนางธนิภาในบัญชี รายชื่อผู้ถือหุ้นก่อนและหลังวันที่จําเลยมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้น ปรากฏว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้ประกอบกิจการ มีผลขาดทุนมาโดยตลอด และไม่มีการจ่ายเงินปันผล
นางธนิภาไม่ได้เข้า ไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการดําเนินกิจการหรือได้รับผลประโยชน์ในบริษัทดังกล่าว ไม่มีมูลเหตุให้จําเลยต้องปกปิดการเป็นผู้ถือหุ้นของนางธนิภา
เชื่อว่าจําเลยไม่ทราบถึงการเป็นผู้ถือหุ้นของนางธนิภาในบริษัทดังกล่าว
จําเลยจึงไม่มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินส่วนนี้
ห้องชุด-บัญชีเงินฝาก-เงินกู้ ที่ลอนดอน ไม่รอด
สําหรับบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) สาขาลอนดอน สหราชอาณาจักร ประเภทกระแสรายวัน เลขที่บัญชี 0807-179574-0XX ประเภท Deposit Call Account เลขที่บัญชี 0807-179574-4XX ประเภท Deposit Call Account เลขที่บัญชี 0807-179574-4XX ชื่อบัญชี นางธนิภา พวงจําปา และห้องชุดเลขที่ 68 ในอาคารชุด Wolfe House 389 Kensington High Street ลอนดอน สหราชอาณาจักร มีชื่อนางธนิภา พวงจําปา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยมีการกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) สาขาลอนดอน
นางธนิภาเป็นผู้ริเริ่มติดต่อขอกู้ยืมเงินกับธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) สาขาลอนดอน และเปิดบัญชีเงินฝากทั้งสามบัญชีดังกล่าวด้วยตนเอง เป็นผู้ทําสัญญาในฐานะผู้กู้เพื่อซื้อห้อง ชุด เป็นผู้ชําระเงินค่าจองห้องชุด ทั้งนําเงินเข้าบัญชีเพื่อผ่อนชําระเงินกู้ และรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด นางธนิภาจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด
ทั้งแจ้งเรื่องการขายห้องชุดให้นายโรเบิร์ต ลี (Mr.Robert Man Fa Li) อีกทั้งเป็นผู้แจ้งปิดบัญชีและไถ่ถอนจํานอง
นางธนิภาย่อมทราบดีว่า ณ วันที่จําเลยมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดง รายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรรมสิทธิ์ในห้องชุดยังเป็นชื่อของนางธนิภา
เมื่อห้องชุดดังกล่าวมีมูลค่าสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินที่จําเลยแสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
จําเลยดํารงตําแหน่งข้าราชการระดับผู้บริหารของสํานักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการยื่น บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินโดยตรง และรู้อยู่ก่อนแล้วเกี่ยวกับการมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของคู่สมรสควรต้องตรวจสอบการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวว่ามีผลในทางกฎหมายแล้วหรือไม่ อย่างไร และ ย่อมต้องทราบว่านางธนิภายังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีบัญชีเงินฝากและเงินกู้ในขณะจําเลยยื่น บัญชีฯ
การกระทําของจําเลยเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าจําเลยมีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินส่วนนี้
พิพากษาว่า จําเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อัน ควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีเข้ารับตําแหน่งรองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 40, 41 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 43, 114 วรรคหนึ่ง, 158
มีผลให้จําเลยพ้นจากตําแหน่งนับแต่วันที่มีคําวินิจฉัย
และห้ามมิให้จําเลยดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็น เวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตําแหน่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 41 กับมีความผิดตามมาตรา 119 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้าง มาก
เห็นควรลงโทษจําคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท
เมื่อไม่ปรากฏว่าจําเลยเคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชําระค่าปรับให้ จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
*************
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายประหยัด พวงจําปา ได้เดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ที่มาดักรอทำข่าวแต่อย่างใด