"...กระบวนการคิดใหม่ เรียนรู้ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะต้องละทิ้งความคิดที่เพียงให้มองเห็นแค่อะไรก็ได้ที่คาดหวังจะเห็น จะต้องพึงเข้าใจว่ามนุษย์เรามีระดับความเชื่อมั่นแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เช่น แฟนกีฬาที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และดูจะเก่งกว่าโค้ชและนักกีฬาเสียอีก พวกนี้จัดว่าเป็น “ยอดฝีมือบนเก้าอี้นวม” (The Armchair Quarterback) คือ “ดีแต่พูด เล่นไม่เป็น” ส่วนกลุ่มที่สองถ่อมตัวแบบเตี้ยติดดินไปอีกสุดขั้วหนึ่ง แม้จะมีความรู้ความสามารถ แต่กลับไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ถือเป็นกลุ่ม “คนไร้ตัวตน” (Impostor Syndrome) คิดเพียงว่าทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรเลย คนทั้ง 2 จำพวกนี้ ต่างต้องจมอยู่ในหลุมพรางของตัวเองและคนอื่นตลอดไป ไม่สามารถเปลี่ยนความคิด (rethink) และทิ้งความรู้เดิม ๆ (unlearn) ให้เข้ามาอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ และวิธีแก้พฤติกรรมต่างขั้วของ 2 กลุ่มนี้คือ การทำให้เกิดความพอดีระหว่างความเชื่อมั่นกับความถ่อมตัว (Confident Humility)..."
Weekly Mail สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึง “ความเชื่อ” ว่าถ้าเราเชื่อแบบหัวปักหัวปำแล้ว ก็ยากจะเปลี่ยนแปลง ศาสตราจารย์อดัม แกรนท์ (Adam Grant) ผู้เขียนหนังสือ Think Again: The Power of Knowing What You Don’t Know จึงขอให้เราทบทวนความเชื่อของตนเองอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้หลุดพ้นจาก “ความเชื่อที่ฝังใจ” ผันตัวเองเข้าสู่โหมด “นักวิทยาศาสตร์” เริ่มจากการเลือกใช้เหตุผลที่ปัง ๆ เพียง 2-3 เหตุผล ตั้งสมมติฐาน เพื่อแสวงหาคำตอบ
อย่างไรก็ดี กระบวนการคิดใหม่ เรียนรู้ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะต้องละทิ้งความคิดที่เพียงให้มองเห็นแค่อะไรก็ได้ที่คาดหวังจะเห็น จะต้องพึงเข้าใจว่ามนุษย์เรามีระดับความเชื่อมั่นแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เช่น แฟนกีฬาที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และดูจะเก่งกว่าโค้ชและนักกีฬาเสียอีก พวกนี้จัดว่าเป็น “ยอดฝีมือบนเก้าอี้นวม” (The Armchair Quarterback) คือ “ดีแต่พูด เล่นไม่เป็น” ส่วนกลุ่มที่สองถ่อมตัวแบบเตี้ยติดดินไปอีกสุดขั้วหนึ่ง แม้จะมีความรู้ความสามารถ แต่กลับไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ถือเป็นกลุ่ม “คนไร้ตัวตน” (Impostor Syndrome) คิดเพียงว่าทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรเลย คนทั้ง 2 จำพวกนี้ ต่างต้องจมอยู่ในหลุมพรางของตัวเองและคนอื่นตลอดไป ไม่สามารถเปลี่ยนความคิด (rethink) และทิ้งความรู้เดิม ๆ (unlearn) ให้เข้ามาอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ และวิธีแก้พฤติกรรมต่างขั้วของ 2 กลุ่มนี้คือ การทำให้เกิดความพอดีระหว่างความเชื่อมั่นกับความถ่อมตัว (Confident Humility)1
นอกเหนือจากความยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อของตนเองแล้ว การจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของผู้อื่นยังเป็นความท้าทายที่ยิ่งกว่า ศาสตราจารย์แกรนท์
ได้ยกตัวอย่างเรื่องราวของการพบกันเมื่อปี 1983 ระหว่างแดริล เดวิส (Daryl Davis) นักดนตรีผิวสี กับชายอเมริกันผิวขาว สมาชิกลัทธิคูคลักซ์แคลน (Ku Klux Klan: KKK) กลุ่มชาตินิยมขวาสุดโต่งที่ดูถูกเหยียดหยามคนผิวสี หลังจากเดวิสเล่นเปียโนเพลงคันทรี่ที่ชายผิวขาวคนนั้นชื่นชอบ และออกจะแปลกใจที่เดวิส สามารถเล่นเพลงคันทรี่ได้และแปลกใจเป็นคำรบสอง เมื่อเดวิสเดินลงจากเวทีเข้ามาคุยด้วย ชายผิวขาวรู้สึกตื่นเต้น เพราะในชั่วชีวิตยังไม่เคยได้พูดคุยกับคนผิวสีมาก่อนเลย เขาบอกเดวิสอย่างไม่อ้อมค้อมว่าเขาอยู่ในกลุ่ม KKK ซึ่งแทนที่เดวิสจะเดินหนี กลับป้อนคำถามอย่างสุภาพว่า “ผมขอถามตรง ๆ เถอะครับว่า ทำไมคุณมองผมอย่างดูถูกและรังเกียจ ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนครับ” เป็นคำถามที่กินใจ ก่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองในเรื่องเชื้อชาติตั้งแต่วินาทีนั้น และทั้งสองเริ่มสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชายผิวขาวได้ลาออกจากสมาชิกภาพกลุ่ม KKK แถมยังขอร้องให้เดวิสไปเกลี้ยกล่อมเพื่อน ๆ ให้ออกจากสมาชิกของกลุ่ม และที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นคือ เขาได้ขอร้องให้เดวิสเป็นพ่อทูนหัวของลูกสาวอีกด้วย2
เรื่องราวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อเดิมของแต่ละคนอาจจะถูกปลูกฝังมาแบบผิด ๆ ทำให้เกิดอคติอย่างไร้เหตุผล เมื่อสมาชิกลัทธิ KKK ได้สัมผัสกับคนผิวสีอย่างเดวิส ทำให้ได้รู้จักกับโลกของความเป็นจริง และตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด สีผิวใด ต่างก็เป็นมนุษย์บนโลกใบเดียวกัน จะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้
ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาสจะโน้มน้าวผู้อื่นให้คิดใหม่และเรียนรู้ใหม่ เราจำเป็นต้องหัดตั้งคำถามที่ถูกต้อง เป็นคำถามที่เกิดจากความสงสัย ไม่ควรใช้คำถามว่า “ทำไม” ที่เต็มไปด้วยความลำเอียง แต่ควรใช้คำถามว่า “อย่างไร” เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดต่อกันหมือนกับการเต้นรำไปด้วยกัน ในบางครั้งเรานำ ในบางครั้งเขานำ ไม่ใช่เหมือนการชกมวยที่หวังจะเอาแพ้เอาชนะ รวมทั้งต้องเป็นผู้ฟังที่ดี คือฟังอย่างไตร่ตรอง ทำให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้ฟังคิดทบทวนตนเองว่า ทำไมจึงควรเปลี่ยนความเชื่อนั้น
การคิดใหม่ การเรียนรู้ใหม่ ไม่ควรจำกัดแค่ตนเอง แต่ควรจะทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมในองค์กรด้วย เพื่อเราจะได้เกิดกระบวนการคิดใหม่ตลอดเวลาในโลกยุค new normal ศาสตราจารย์แกรนท์ได้สรุปเนื้อหาของหนังสือด้วยวลีทองว่า “เมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าคุณไม่รู้ แปลว่าคุณฉลาดขึ้นแล้ว”
เขียนโดย รณดล นุ่มนนท์
เขียนเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565
แหล่งที่มา
1/ Panasm.com. 2022. [สรุปหนังสือ] Think Again : The Power of Knowing What You Don’t Know – Panasm's Blog. [online] Available at:
<https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-think-again/>
[Accessed 16 January 2022].
2/ Redeemer Church. 2022. Think Again by Adam Grant | Redeemer Church. [online] Available at: <https://redeemerjackson.com/2021/03/think-again-by-adam-grant/>
[Accessed 23 January 2022].
ข่าวที่เกี่ยวข้อง