6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี จี้ยกเลิก ข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามเสนอข่าวให้คนเกิดความหวาดกลัว หวั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชน-สื่อมวลชน
---------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2564 ตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึก เรื่องขอให้ยกเลิกข้อความในข้อที่ 11 ของข้อกำหนดออกตามวามในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) และข้อกำหนดฉบับที่ 29 ต่อนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหา ดังนี้
ตามที่ท่านได้ออกข้อกำหนดตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 27 ข้อ 11 เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2564 และฉบับที่ 29 เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2564 ระบุข้อความว่า ในลักษณะเดียวกันว่า “การเสนอข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักร” ตามความทราบแล้วนั้น
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร ประกอบด้วย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ , สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย , สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย , สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย , สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ , สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ปรึกษาหารือกันจนมีข้อสรุปว่า ถ้อยคำตามข้อกำหนดดังกล่าว สุ่มเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในมาตรา 34 และมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ข้อกำหนดดังกล่าว ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเอาผิดแม้เพียงแค่ ‘ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว’ โดยปราศจากหลักเกณฑ์หรือขอบเขตของการใช้อำนาจที่ชัดเจน ดังนั้น แม้ประชาชนและสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือความจริงก็อาจถูกดำเนินคดีหรือคุกคามจากหน่วยงานของรัฐได้ เพียงเพราะใช้วิจารณญาณว่าเป็นการทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
2. ข้อกำหนดทั้ง 2 ฉบับนี้ มีเนื้อหาแตกต่างจากข้อกำหนดในลักษณะเดียวกันที่เคยมีการประกาศก่อนหน้านี้ในข้อกําหนดฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 มี.ค. 2563 ข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ความชัดเจนว่า จะห้ามเสนอข่าวได้ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด และต้องเป็นการเสนอข่าวหรือทำให้เผยแพร่ข้อความอันไม่เป็นความจริง รวมทั้งระบุให้เจ้าหน้าที่ต้องเตือนให้ระงับหรือสั่งให้แก้ไขข่าวเสียก่อน
3. ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพร้อมทั้งขอให้รัฐบาลทบทวนการออกข้อกำหนดข้างต้น หรือจัดทำแนวปฏิบัติจากข้อกำหนด และแถลงถึงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้ให้เกิดความชัดเจน เพื่อมิให้มีการนำข้อกำหนดดังกล่าว ไปเป็นเครื่องมือในการปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชน จนกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน แต่กลับถูกเพิกเฉย อีกทั้งได้มีการออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซ้ำอีกครั้ง โดยมีการขยายขอบเขตการใช้อำนาจในการจำกัดเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนให้กว้างขวางออกไปอีก
ด้วยเหตุผลที่ระบุมาข้างต้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร จึงขอเรียกร้องให้มีการยกเลิกข้อความในข้อที่ 11 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) รวมทั้งข้อกำหนดฉบับที่ 29 (ทั้งฉบับ) โดยทันที เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เลวร้ายลงไปอีก
ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรียังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรจะเพิ่มมาตรการในการกดดันให้รัฐบาลต้องพิจารณายกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว ทั้งมาตรการทางด้านกฎหมายและมาตรการทางสังคมต่อไปจนถึงที่สุด
ต่อมา นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ , นายสุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุและโทรทัศน์ไทย และ นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย , นายธีรนัย จารุวัสตร์ กรรมการบริหาร สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และนายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ตัวแทน 6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมรัฐบาลคุกคามการแสดงออกของประชาชน และสื่อมวลชน
โดยเนื้อหาของหนังสือระบุว่าจากกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 27 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 โดยข้อ 11 ในข้อกำหนดดังกล่าวได้ระบุถึง “มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า การเสนอข่าว หรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548”
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร ดังมีรายชื่อท้ายหนังสือฉบับนี้ ได้มีการประชุมหารือกัน จนมีข้อสรุปว่า การออกข้อกำหนดฯ โดยมีมาตรการเพื่อมิให้บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดดังกล่าว มีเนื้อหาแตกต่างจากข้อกำหนดในลักษณะเดียวกันที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ ในฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 6 การเสนอข่าว ระบุความชัดเจนว่า ห้ามการเสนอข่าว หรือทำให้แพร่หลายทางสื่อต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด 19 อันไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งระบุให้เจ้าหน้าที่เตือนให้ระงับ หรือสั่งให้แก้ไขข่าวเสียก่อน
ดังนั้น การตัดข้อความอันเป็นเงื่อนไขสำคัญในฉบับที่ 27 ดังกล่าว จึงเป็นการให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการใช้ดุลยพินิจ จนอาจกระทบต่อการทำหน้าที่เสนอข้อมูลข่าวสาร และแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนได้
ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการออกข้อกำหนดข้างต้น หรือจัดทำแนวปฏิบัติจากข้อกำหนด พร้อมแถลงถึงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้ให้เกิดความชัดเจน เพื่อมิให้นำข้อกำหนดดังกล่าวไปเป็นเครื่องมือปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวสารของสื่อมวลชน และการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชน
นอกจากนี้ ยังได้พยายามประสานขอความชัดเจนจากผู้แทนรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางเวทีพูดคุยสาธารณะ และช่องทางสื่อสารอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนมาโดยตลอด และปรากฏว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้มาตรการในข้อกำหนดดังกล่าวอย่างจริงจังต่อสื่อมวลชน คนดัง หรือเพจต่างๆ
ท่าทีของนายกรัฐมนตรี ได้แสดงถึงการยืนยันเดินหน้าบังคับใช้ข้อกำหนดฯ ต่อไป โดยไร้ขอบเขต หรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน นับเป็นพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรจึงมีแถลงการณ์ร่วมกันในวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เรียกร้องให้ยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวทันที แต่รัฐบาลยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องดังเดิม
ล่าสุด วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 29 ออกมาตอกย้ำความพยายามที่จะละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งเป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกทั้งยังเป็นสิทธิตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาตรา 19 ด้วย
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติใช้อำนาจความตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมูลเหตุ และเจตนาของรัฐบาลในการประกาศใช้ข้อกำหนดฉบับที่ 27 และฉบับที่ 29 ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งอาจเข้าข่ายการละเมิดเสรีภาพของประชาชน และสื่อมวลชนตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิของพลเมืองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มาตรา 19 อีกด้วย
2. ตรวจสอบกรณีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือข้าราชการ และพนักงานในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ข้อกำหนดข้างต้น ใช้อำนาจตามข้อกำหนดนี้ข่มขู่ และดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาล
3. เสนอแนะแนวทาง หรือมาตรการในการป้องกันไม่ให้มีการออกกฎหมายหรือข้อกำหนดต่างๆ อันเป็นกฎหมายลำดับรอง มาใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัด และคุกคามเสรีภาพประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายไทย และข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และมีพันธกรณีในการปฏิบัติตามด้วย
ข่าวประกอบ :
6 องค์กรสื่อฯ จี้รัฐทบทวนข้อกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินกระทบต่อเสรีภาพ
แถลงการณ์ 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน จี้รัฐยกเลิกจำกัดเสรีภาพสื่อ-ประชาชน
วงเสวนาจี้รัฐยกเลิก'พ.ร.ก.ฉุกเฉิน'ชี้หยุดอ้างเฟกนิวส์ คุกคามเสรีภาพสื่อ-ประชาชน
‘บิ๊กตู่’ยกระดับคุม!ห้ามเสนอข่าวให้คนหวาดกลัว สั่ง กสทช.ตรวจสอบ-ระงับไอพีทันที
คณบดีนิติฯ มธ.อัด ข้อกำหนด ฉ.29 ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ขัดต่อสามัญสำนึก-รัฐธรรมนูญ
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage