เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการ ผู้ห่วงใยในปัญหามนุษยธรรม เรียนหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ระบุขอให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา
......................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2564 น.ส.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานมูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า นายโคทม อารียา ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซีย และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการ ผู้ห่วงใยในปัญหามนุษยธรรม ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา ระบุว่า ตามที่ได้มีเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพที่ประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และได้มีการใช้กำลังอาวุธปราบปราม ออกหมายจับ และไล่กวาดล้างชาวเมียนมาผู้เห็นต่างอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งบัดนี้ทั้งที่ประชาคมโลก โดยองค์การสหประชาชาติ และประชาคมอาเซียนได้ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายกองทัพเมียนมายุติการใช้ความรุนแรง ปลดปล่อยผู้ถูกคุมขัง และยุติการคุกคามประชาชนพลเมืองชาวเมียนมาที่ส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนออกจากถิ่นฐาน และการอพยพหนีภัยมาสู่ชายแดนไทย-เมียนมา และอินเดีย-เมียนมา
ทางกลุ่มเครือข่ายได้ร่วมหารือเป็นระยะๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวเมียนมา จึงขอเรียนให้นายกฯได้โปรดพิจารณากำหนดแนวทางนโยบายโดยคำนึงถึงมนุษยธรรมเป็นสำคัญ ด้วยเห็นได้ว่าชาวเมียนมาตกอยู่ในสภาวะลำบากยากเข็ญ และจะต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนหน้านี้ได้มีการจัดทำข้อเสนอถึงท่านตามหนังสือฉบับลงวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความจำเป็นอย่างยิ่งยวด จึงมีข้อเสนอแนะให้เป็นแนวทางการดำเนินการดังนี้
1. ประกาศเขตห้ามการบิน (No fly zone)โดยฝ่ายยานบินเมียนมา ใกล้ประชิดเขตแดนไทย-เมียนมา ทั้งเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของอธิปไตยของไทย
2. ขอให้นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยในฐานะรัฐมนตรีรักษาการตามกฎหมายอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เสนอให้ ครม. มีมติเห็นชอบให้ผ่อนผันให้ผู้หลบหนีการสู้รบและความขัดแย้งทางการเมืองจากประเทศเมียนมา ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่รองรับบริเวณชายแดนที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดให้ และภายใต้มาตรการการควบคุมโรคติดต่อตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด สำหรับผู้ที่ต้องการการคุ้มครองจากสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อชีวิตจากความไม่ปลอดภัยทางการเมือง สามารถดำเนินการขอรับการคัดกรองให้เป็นผู้ได้รับการคัดกรองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นกรณีพิเศษทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมซึ่งมีความเป็นสากล เป็นที่ยอมรับของนานาชาติเป็นหลัก และมีคุณค่าและความจำเป็นเหนือกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองซึ่งไม่สามารถตอบสนองและรองรับกับสถานการณ์พิเศษในประเทศเมียนมา และที่เขตแดนไทย-เมียนมาในช่วงเวลานี้ได้ การผลักดันกลับโดยทันที หรือดำเนินคดีด้วยการอ้างว่ามีการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง จึงเป็นเรื่องของการไม่ยอมรับรู้ซึ่งความเป็นไปในประเทศเมียนมา และไม่คำนึงถึงความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ในแง่หลักมนุษยธรรม และในแง่พุทธหรือศาสนาหนึ่งใด
3. เพื่อให้เกิดการดูแลและคุ้มครองผู้หนีภัยความขัดแย้งจากประเทศเมียนมาอย่างเป็นระบบและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลควรมีการจัดตั้งคณะทำงานประสานงานดูแล ให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยความขัดแย้งจากประเทศเมียนมาในระดับชาติ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เข้าร่วมเป็นคณะทำงาน โดยมีหน้าที่พิจารณากำหนดแนวทางการดูแล จัดระบบและประสานงานการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจากความขัดแย้งในประเทศเมียนมาระหว่างส่วนกลางกับพื้นที่ และในระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำข้อเสนอในระดับนโยบายให้แก่รัฐบาลในการบริหารจัดการต่อไป
4. ประเทศไทยมีประสบการณ์อย่างมากมายเป็นที่จดจำและยกย่องจากประชาคมโลก อาทิ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรับชาวเวียดนามสมัยสงครามอินโดจีน-ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามจากสงครามกลางเมือง ชาวเวียดนามที่หลั่งไหลเข้ามาทางทะเล ชาวกัมพูชาที่เข้ามาทั้งในช่วงการกดขี่ของฝ่ายเขมรแดง การยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม และสงครามกลางเมือง การให้ความช่วยเหลือชาวลาวโดยเฉพาะชาวลาวชาติพันธุ์ม้ง และชาวเมียนมาในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา และยังคั่งค้างอยู่ที่ค่ายอพยพอยู่อีกกว่าแสนคน และล่าสุดชาวเมียนมาชาติพันธุ์โรฮิงญา และชาวเมียนมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ศกนี้ เป็นแนวทางการดำเนินการที่เปิดเขตแดนอ้าแขนต้อนรับด้วยหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ ที่พึงได้รับการพัฒนาต่อยอดต่อไป
5. รัฐบาลไทยและอาเซียนควรให้การรับรองคณะรัฐบาลสหภาพแห่งชาติ (National Union Government of Myanmar: NUG) ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญของเมียนมาให้การรับรอง อีกทั้งยังเป็นระบอบที่รัฐบาลไทยและอาเซียนให้การยอมรับและใช้เป็นวิถีปฏิบัติในการธำรงไว้ซึ่งการบริหารจัดการประเทศที่ได้รับการยอมรับในสากลโลกอีกด้วย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage