รัฐบาลแนะก่อนไปฉีดวัคซีนต่างประเทศ ควรตรวจสอบกฎระเบียบการเข้าเมืองและมาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศปลายทางให้รอบด้าน เหตุแต่ละพื้นที่มีนโยบาลการฉีดและแจกจ่ายวัคซีนที่แตกต่างกัน
........................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่บางประเทศกำหนดให้การฉีดวัคซีนมาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการเดินทางเข้าประเทศนั้น รัฐบาลขอชี้แจงว่า ผู้ที่มีความประสงค์เดินทางไปต่างประเทศจำเป็นต้องตรวจสอบกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมืองและมาตรการทางด้านสาธารณสุขของประเทศปลายทางให้ชัดเจนก่อนเสมอ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ยังคงเป็นความท้าทายในหลายประเทศ และมีระดับของความรุนแรงแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ ควรปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศนั้นๆอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาเชื้อตามระยะเวลาที่กำหนดก่อนเดินทาง การเตรียมเอกสารรับรองผลตรวจเชื้อ และเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน การกักตัว ณ ที่พักอาศัย การรักษาระยะห่าง และการสวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น
นายอนุชา กล่าวอีกว่า กรณีการเดินทางเข้าประเทศในสหภาพยุโรป หรือ อียู ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงในเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ว่า อียู ได้ผ่อนคลายมาตรการเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ประเทศสมาชิก อียู แต่ละประเทศมีอำนาจในการประกาศกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมืองและมาตรการด้านสาธารณสุขของตนเอง
โดยประเทศสมาชิก อียู ที่สามารถเดินทางจากประเทศไทยได้โดยไม่มีเงื่อนไข มี 13 ประเทศ ได้แก่ โปรตุเกส สเปน อิตาลี เยอรมนี โครเอเชีย โปแลนด์ เอสโตเนีย สวีเดน ฟินแลนด์ บัลแกเรีย กรีซ เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ส่วนประเทศที่มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดตามที่ประเทศปลายทางกำหนด 14 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เช็ก ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ลัตเวีย สโลวีเนีย สโลวาเกีย ฮังการี ลิทัวเนีย โรมาเนีย ออสเตรีย ลักเซมเบิร์ก และไซปรัส ผู้ที่จะเดินทาง จึงจำเป็นต้องตรวจสอบมาตรการสาธารณสุขของประเทศปลายทาง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศยืนยัน ขณะนี้ อียู ยังไม่ได้กำหนดให้การฉีดวัคซีนหรือไม่ หรือการฉีดวัคซีนประเภทใดเป็นเงื่อนไขการเดินทางเข้าเขต อียู และยังอยู่ในระหว่างพิจารณาวิธีการรับรองการฉีดวัคซีนฯ (Vaccination Certificate – VC) ของประเทศนอก อียู ซึ่งหากพิจารณาแล้วเสร็จ ประเทศสมาชิก อียู แต่ละประเทศจะนำไปกำหนดมาตรการและเงื่อนไขในการเดินทางเข้าต่อไป อย่างไรก็ดี ขอให้ผู้ที่ประสงค์เดินทางไปต่างประเทศติดตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศสมาชิก อียู จากเว็บไซต์ของสหภาพยุโรป https://reopen.europa.eu
สำหรับกระแสข่าวเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยวและฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดที่สหรัฐอเมริกา นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศว่าได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยในสหรัฐอเมริกา ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการฉีดวัคซีนโควิด ให้กับชาวต่างชาติของมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะเรียกดูข้อมูลหลักฐานถิ่นที่อยู่ หลักฐานการทำงานหรือการศึกษาในรัฐ รวมถึงจะพิจารณาหลักฐานการเข้าเกณฑ์ที่ได้รับอนุญาต และอาจปฏิเสธการให้บริการหากไม่สามารถแสดงหลักฐานตามที่ร้องขอได้
ทั้งนี้ ในแต่ละมลรัฐมีนโยบายการฉีดและแจกจ่ายวัคซีนที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยรวมจะมีการฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีถิ่นพำนัก ทำงาน หรือศึกษาในมลรัฐนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ในบางมลรัฐได้จัดสรรวัคซีนให้กับผู้ไม่มีถิ่นพำนักและไม่ได้ทำงานหรือศึกษาในมลรัฐนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าอนุญาตให้นักท่องเที่ยว ยกเว้นมลรัฐอแลสกาที่มีนโยบายชัดเจนว่า ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2564 เป็นต้นไป จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาฉีดวัคซีนได้
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการต่างประเทศยังเน้นย้ำว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในสหรัฐอเมริกา ได้รับอนุมัติการใช้งานแบบฉุกเฉินเท่านั้น หากรับวัคซีนแล้วมีอาการข้างเคียงหรือการแพ้รุนแรง บริษัทฯ ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ และหากไม่มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุม อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีราคาสูงอีกด้วย นายอนุชา จึงขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา เพื่อฉีดวัคซีน โปรดศึกษาข้อมูลจากหน่วยงานทางการของสหรัฐอเมริกา อาทิ เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย รวมถึงนโยบายการจัดสรรวัคซีนของมลรัฐต่างๆ ข้อมูลการตรวจคนเข้าเมือง มาตรการด้านสาธารณสุข และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนมาตรการที่ต้องปฏิบัติเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยด้วย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/