‘ตลท.’ เปิดกลยุทธ์ปี 2564-66 เดินหน้า 4 ประเด็น 8 กลยุทธ์ 'สร้างการเติบโตตลาดทุน-ขยายโครงสร้างพื้นฐาน-ขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อม-เพิ่มศักยภาพธุรกิจ'พัฒนาตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน ด้าน 'ภากร' เผยอยู่ระหว่างพิจารณาหามาตรการเพิ่มเติมจัดการหุ้นร้อน 'สภาพคล่องต่ำ'
.....................
เมื่อวันที่ 8 ม.ค. นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงทิศทางการดำเนินงานกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประจำปี 2564 ว่า ตลท.จัดทำกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2564-2566) ภายใต้แนวคิด “Redefine Thai Capital Market Resiliency ก้าวต่อไปตลาดทุนไทย สู่ความแข็งแกร่งของประเทศ” โดยบูรณาการด้านนวัตกรรม สร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุน ภายใต้กรอบการพัฒนาสู่ความยั่งยืน
สำหรับกลยุทธ์ระยะ 3 ปีดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของประเทศอย่างมีสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม (Balanced Growth) รองรับสภาพแวดล้อมของตลาดทุน เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ตลาดทุนเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตามวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To make the capital market Work for everyone” โดยมีกรอบการพัฒนา 4 ด้าน 8 กลยุทธ์ ได้แก่
1.สร้างการเติบโตในตลาดทุน (Market Growth)
-การเพิ่มหลักทรัพย์ใหม่ (Boost supply-side opportunities) ส่งเสริมการระดมทุนของธุรกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจกระแสใหม่ (New economy) หลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และสตาร์ทอัพ (Startups) ในรูปแบบที่เหมาะสมตามความเสี่ยงและประเภทของผู้ร่วมลงทุน ขณะเดียวกัน สนับสนุนการนำข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ในการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ
-การขยายฐานผู้ลงทุน (Rapid investor expansion) มุ่งเน้นการขยายช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้กว้างขึ้นและทำให้การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ควบคู่กับการตลาดดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลความรู้ บริการ และผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ ให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่จะขยายความน่าสนใจของตลาดทุนไทยไปยังกลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการนำเสนอธีมผลิตภัณฑ์และบริการ (Thematic products and services) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนสถาบัน
2.ขยายโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Expansion)
-การสร้างการมีส่วนร่วม (Building engagement) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียน และผู้ประกอบการในตลาดทุน ส่งเสริมรายงานด้าน ESG รวมทั้งปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
-การต่อยอดธุรกิจใหม่ (Venturing new frontiers) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุนไทย เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงตลาดทุนโลก และให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนของผู้ลงทุน
3.ขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อม (Environmental Solutions & Social Development)
-การปลูกฝังการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG cultivation) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนนำหลักการ ESG มาบูรณาการในกระบวนการดำเนินงานตามลักษณะการประกอบธุรกิจ เพื่อคงความเป็นผู้นำในภูมิภาคในด้าน ESG พร้อมส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ผ่านโครงการ Care the Bear Care the Whale และ Care the Wild โดยทำงานร่วมกับองค์กรในตลาดทุนและพันธมิตร
-การเสริมสร้างพลังทางสังคม (Social empowerment) มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางด้านความรู้ทางการเงินของประเทศ โดยพัฒนาทักษะพื้นฐานการบริหารจัดการทางการเงินในชีวิตประจำวันให้กับประชาชน นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับงานวิจัยด้านตลาดทุน พัฒนาศักยภาพและขยายโอกาสสำหรับธุรกิจเพื่อสังคมผ่าน Social digital platform
4.เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและศักยภาพบุคลากร (Continuous Improvement & Talent Empowerment)
-ความสามารถในการขยายตัวด้านธุรกิจ (Business scalability) ยกระดับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยยึดหลักมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรในการสร้างสรรค์บริการอย่างครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและผู้ลงทุน
-ความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน (Operational excellence) ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดขั้นตอนกระบวนการทำงาน โดยศึกษาการนำ Robotic Process Automation (RPA) มาใช้ ให้ความสำคัญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงและการสื่อสารในช่วงวิกฤต รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของพนักงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานในวิถีชีวิตปกติใหม่
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้ปรับตัวสู่วิถีธุรกิจใหม่ (Next Normal) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน และเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศ ตอบสนองความท้าทายในโลกปัจจุบันที่อยู่บนวิถี VUCA (ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity)
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท บจ.ใหญ่ๆเป็นพวกแบงก์ และพลังงาน ปัจจุบันเราโตเป็น 15-16 ล้านล้านบาท กลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นกลุ่มบริการ รองลงมาเป็นพลังงาน แบงก์ และสื่อสาร แต่อีก 10 ปี เราจะไปอย่างไร ซึ่งวันนี้พวกเราหาโจทย์ว่า กลุ่มบริษัทที่เป็น well being กลุ่มท่องเที่ยวต่างๆ จะทำอย่างไรให้เขาขายสิ่งที่เป็นมูลค่าเพิ่มได้ เราจะสร้างธุรกิจใหม่จาก SMEs สตาร์ทอัพ และ REIT ที่จะไปขายระดับโลกได้อย่างไร” นายภากรกล่าว
นายภากร กล่าวถึงมาตรการกำกับดูแลหุ้นที่มีสภาพคล่อง (Free Float) ต่ำ ซึ่งการซื้อขายและราคาเคลื่อนไหวผิดปกติในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ว่า การกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ฯจะมีขั้นตอนปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมในแต่ละช่วงด้วย เช่นตอนนี้สิ่งที่ตลท.ได้มีการคำนึงถึงเพิ่มเติม คือ จากข้อมูลที่มีอยู่นั้น ตลท.จะสามารถทำอะไรเพิ่มได้บ้าง โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ตลท.กำลังพิจารณาอยู่
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลท. กล่าวว่า ตลท.กำหนดให้บจ.กระจายการถือหุ้นไปยังรายย่อยที่ 15% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งไม่ได้ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศที่กำหนดไว้ที่ 10-15% แต่หากบจ.ใดมีสภาพคล่องต่ำกว่าที่กำหนดไว้ จะมีการเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนทราบว่าบจ.มี Free Float เป็นอย่างไร และตลท.จะกระตุ้นให้บจ.มี Free Float กลับมาไม่น้อยกว่า 15% ส่วนดูแลการซื้อขายหุ้นนั้น จะมีการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน
“การดูแลคนที่อาจจะมีความประพฤติที่ผิดกฎหมายตามพ.ร.บ. เช่น การปั่นหุ้น และใช้ข้อมูลภายใน เป็นเรื่องที่ตลาดฯจะดำเนินการร่วมกับ ก.ล.ต.” น.ส.ปวีณากล่าว
สำหรับพัฒนาการสำคัญและความสำเร็จปี 2563
ด้านธุรกิจ
-มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของหลักทรัพย์ IPO 5.55 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 8 ของโลก อันดับ 2 ในเอเชีย และสูงสุดในอาเซียนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน (อันดับ 2 ในเอเชีย และสูงสุดในอาเซียน ไม่นับรวม cross-border products) โดย บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าระดมทุนใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีมูลค่าเสนอขายในกลุ่มค้าปลีกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
-สภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนติดต่อกันตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2563 มีวันที่มูลค่าซื้อขายเกิน 1 แสนล้านบาท ถึง 22 วัน และวันที่ซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และโดยเฉลี่ยมีมูลค่าซื้อขายต่อวัน 67,334.80 ล้านบาท
“เราเคยตั้งเป้าว่าจะมีการซื้อขายถึง 1 แสนล้านบาท ให้ได้ในปี 2563 ซึ่งเราก็ทำได้ แม้ว่าจะทำไม่ได้ทั้งปี โดยปี 2563 มีการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 6.8 หมื่นล้านบาท แต่วันที่มีการซื้อขายเกิน 1 แสนล้านบาท ถึง 22 วัน และปีนี้ ถ้าดูจากต้นปีมา มีการซื้อขายเกิน 1 แสนล้านบาทมาหลายวันแล้ว และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้ความว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการพัฒนาทั้งปริมาณการระดมทุน และมูลค่าการซื้อขาย” นายภากรกล่าว
-TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกว่า 4.94 แสนสัญญา เป็นอันดับที่ 26 ของโลก (ข้อมูล ณ พ.ย. 2563)
-จำนวนบัญชีใหม่เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 662,678 บัญชี จากสิ้นปี 2562 สรุปตัวเลขบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์รวม 3.43 ล้านบัญชี (ณ พ.ย. 2563)
-ปรับกฎเกณฑ์เพื่อรองรับความผันผวนของตลาด เช่น มาตรการ Market Disruption และปรับปรุงเกณฑ์ Circuit Breaker
-ยกระดับการให้บริการสู่ Fully Digitalized Services ผ่านการให้บริการ e-Proxy, e-Meeting และ e-Conference
-เชื่อมโยงสินค้าและบริการในตลาดโลก เช่น S&P500 DW, Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) DW, Silver Online Futures และ Japanese Rubber Futures
-ร่วมมือกับ Tech companies พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เช่น M-DAQ: ข้อมูลราคาหุ้น SET50 เทียบราคา 10 สกุลเงินต่างประเทศแบบเรียลไทม์ และแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจรภายใต้ความร่วมมือกับ KBTG
-เพิ่มโอกาสการลงทุนผ่านช่องทางใหม่ๆ เช่น Point to Invest โดยร่วมกับ 16 บริการทางการเงินเปลี่ยนคะแนนสะสมบัตรเครดิตเป็นกองทุนรวม และ Start Invest โดยร่วมกับ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ ให้บริการเปิดบัญชี-ซื้อขายกองทุนรวมผ่าน True Money Wallet บนฐานลูกค้ากว่า 15 ล้านราย
-ปรับการทำงานสู่ New way of working ด้วยการ Work From Home ออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากการระบาดของ COVID-19 รวมทั้งใช้การสื่อสารภายในกับพนักงาน
ด้านคุณภาพ
-21 บจ. อยู่ในดัชนีความยั่งยืน DJSI มากที่สุดในอาเซียน โดย 7 บจ. ไทยได้คะแนนสูงสุดเป็นที่ 1 ของโลกใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม
-ยกระดับ LiVE Platform เป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพ SMEs และ Startups สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ
-พร้อมรองรับ PDPA และสร้างมาตรฐาน Cybersecurity ของอุตสาหกรรมตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและ ISO27701
-เดินหน้าลดโลกร้อน ร่วมกับพันธมิตรดำเนินโครงการ Care the Wild แพลตฟอร์มความร่วมมือปลูกไม้ให้ได้ป่า ด้วยกลไกธรรมาภิบาลเปิดเผยข้อมูล ติดตาม-เรียนรู้-ดูแล เป็นโครงการที่ต่อเนื่องจาก Care the Bear และ Care the Whale
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage