สอวช. เปิดกลยุทธ์ขจัดความยากจนแบบตรงจุด ใช้พลังมหาวิทยาลัยปูพรมทั่วประเทศ ด้าน“นายแพทย์เกษม” ยกศาสตร์พระราชา แก้ปัญหายากจน ลดเหลื่อมล้ำหลังโควิด-19
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดเวที Recover Forum เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของไทยหลังโควิด-19 โดยในวันที่ 9 กรกฎาคม ได้มีการหารือถึง การขจัดความยากจนอย่างตรงจุดลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยยุคหลังโควิด-19 โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรีได้ให้เกียรติบรรยายและร่วมแลกเปลี่ยน
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวว่า โดยส่วนตัวสนใจเรื่องความยากจนมานานแล้ว เพราะได้มีโอกาสถวายงานใกล้ชิดในโครงการหลวง ซึ่งให้ความสำคัญกับปัญหาความยากจนเกิดเป็นศาสตร์พระราชา ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือรับมือวิกฤตของโลก และเชื่อว่ากลยุทธ์การพัฒนา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ที่ สอวช.จัดทำนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบรรจุเศรษฐกิจพอเพียงไว้ อยากให้ไปศึกษาศาสตร์พระราชามาปรับใช้เพื่อการแก้ปัญหาความยากจนอย่างตรงจุด เช่น โครงการหลวง โครงการพระราชดำริทั่วประเทศ เป็นโครงการแก้จน ที่พลิกความจนเป็นความพอดี จนไปสู่อยู่ดีกินดี ตลอด 51 ปี ที่น้อมนำแนวคิดของพระองค์มาใช้ ในภาวะวิกฤตก็กระทบแต่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวว่า วิกฤตโควิด ทำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยมีจุดแข็งสำคัญที่ทั่วโลกยกย่องว่า การจัดการสาธารณสุขได้อย่างยอดเยี่ยม โดยดึงศักยภาพของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกำลังสำคัญที่ทำงานกับชุมชนได้อย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามก็ยังมีจุดอ่อนแออยู่คือการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือวิกฤต ช่วงที่โรงงานปิดคนตกงาน หลายคนไม่มีแม้แต่ที่อยู่ ทุกวงการได้รับผลกระทบและอยู่ในภาวะชะงักงัน ดังนั้นการเตรียมการเพื่อการรองวิกฤตโดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นแนวทางที่ตรงจุดและได้ยกวิธีคิดที่ท้าทายของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่สามารถขจัดความยากจนภายใน 5 ปี (2559 – 2563) ซึ่งในปี 2559 มีคนยากจนอยู่ 80 ล้านคน โดยในปี 2561 ได้มีโอกาสไปดูงานที่มณฑลหูหนาน ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายไม่แก้จนเป็นรายบุคคล แต่แก้ใน 2 มิติคือ มิติครอบครัวและมิติชุมชน โดยมอบหมายให้ข้าราชการ 1 คนเป็นพี่เลี้ยง 1 ครอบครัว และมีเป้าหมายต้องหายจนภายใน 5 ปี อย่าแก้แบบเหวี่ยงแห เพราะรายละเอียดปัญหาของแต่ละครอบครัว แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ส่วนในระดับชุมชน มหาวิทยาลัยหูหนาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปทำงานกับชุมชน ชาวเขาของจีน เพื่อดำเนินการ 5 เรื่อง คือ 1.ดิน ต้องวิเคราะห์ว่าเหมาะปลูกพืชชนิดไหน 2.น้ำต้องมีทั้งปี 3.ต้องวางแผนว่าข้าวที่เคยปลูก จะเปลี่ยนพันธุ์หรือไม่ โดยคณะเกษตรของมหาวิทยาลัย มาเป็นพี่เลี้ยงตลอดปี 4.การเก็บเกี่ยวจะมีนักวิชาการมาช่วยทำ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง 5.ตลาด ต้องหาตลาดให้กับชุมชน โดยให้คณะวิจิตรศิลป์ นำดิจิทัลเข้ามาสอนให้กับชาวบ้าน ออกแบบแพคเกจและทำการค้าขายออนไลน์กับต่างประเทศ นอกจากนี้ในทางการแพทย์ มีการเน้นเรื่องการรักษาโรคเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ตามการปรับใช้ในประเทศไทยสามารถทำได้ในบางจุด เพราะแนวนโยบายของรัฐบาล และสภาพสังคมก็แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
“โควิด-19 กระตุกต่อมคิดอย่างไม่เคยมีมาก่อน เรามีมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เรามีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฎ วิทยาลัยชุมชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยเอกชนอีกหลายแห่ง เราจะดึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยมาช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้กับสังคมโดยมีรัฐบาลร่วมลงทุน ต้องฉีดวัคซีน 4 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดลล้อม และวัฒนธรรม โดยต้องมีคุณธรรม รู้จริง เอาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและปฏิบัติ ขวนขวายและเอาวิชาการใหม่มาใช้ ต้องขยันหมั่นเพียร อดทน”
ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การพัฒนา อววน. ตามที่ ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าวว่าเป็นครั้งแรกที่ทีการนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการแก้ปัญหาความยากจน นั้น ดร.กิติพงค์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า สอวช. ได้ดำเนินการจัดทำ กรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน. เพื่อการพัฒนา พ.ศ.2563-2570 โดยมี 6 กลยุทธ์การพัฒนา อววน. คือ 1.สร้างเสริมความมั่นคงของมนุษย์และพลังทางสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.เปลี่ยนความยากจนสู่ความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง 3.ขับเคลื่อนบีซีจี เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนบนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4.เปลี่ยนผ่านภาคการผลิตอุตสาหกรรมและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 5.พัฒนาการอุดมศึกษาและกำลังคนตอบโจทย์ประเทศ 5.ปฏิรูประบบ อววน.ให้เกิดประสิทธิผลโดยจะใช้พลังมหาวิทยาลัยลงช่วยเหลือชุมชนทั่วประเทศ