'ไสลเกษ วัฒนพันธุ์’ ปธ.ศาลฎีกา พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง สนง.ศาลยุติธรรม เปิดโครงการ ‘ศาลยุติธรรมห่วงใยฝ่าภัยโควิด’ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้บริการศาลในช่วงโควิด-19 ลดความเสี่ยงติดเชื้อ พัฒนาระบบไกล่เกลี่ยออนไลน์ ลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น นำร่องทั่วประเทศ ถึง 30 ก.ย. 63
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2563 ที่สำนักประธานศาลฎีกา นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เปิดโครงการ ‘ศาลยุติธรรมห่วงใยฝ่าภัยโควิด’ ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพไปยังศาลยุติธรรมทั่วประเทศกว่า 270 แห่ง โดยมีรองประธานศาลฎีกา ประธานแผนกคดีในศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาล และผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานศาลยุติธรรมเข้าร่วมด้วย
โครงการดังกล่าวศาลยุติธรรมจัดขึ้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือและลดภาระของคู่ความและประชาชนผู้ใช้บริการศาลในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบหรือความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากขาดรายได้ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้โครงการศาลยุติธรรมห่วงใยฝ่าภัยโควิด ได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
โครงการที่ 1 การงดหรือลดภาระค่าใช้จ่ายของคู่ความในการดำเนินคดี มุ่งเน้นการงดหรือลดภาระค่าใช้จ่ายบางประเภทของคู่ความในการดำเนินคดี ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคู่ความในการดำเนินคดี และเพิ่มการให้บริการของศาลยุติธรรม ตลอดจนนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของศาล เช่น ลดค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความคดีบางประเภท คืนค่าขึ้นศาลเป็นกรณีพิเศษเมื่อพิพากษาตามยอม ส่งสำเนาคำพิพากษาคดีฟรีถึงบ้าน นัดเหลื่อมเวลาเพื่อลดการใช้เวลาในศาล บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) และจุดรับบริการ Drive Thru รวมถึงส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีแทนการเดินทางมาศาล
โครงการที่ 2 การพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยออนไลน์ในศาลยุติธรรม มุ่งส่งเสริมให้คู่ความร่วมหาวิธีการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ทุกฝ่ายยอมรับและสามารถปฏิบัติได้จริงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้น โดยผสมผสานการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสื่อกลางในกระบวนการไกล่เกลี่ยที่จะทำให้คู่ความสามารถเข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ยได้โดยไม่เกิดภาระการเดินทางมาศาลในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสดังกล่าว แต่ยังสามารถคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในกระบวนการการระงับข้อพิพาททางเลือก ผ่านการจัดโครงการ “ไกล่เกลี่ยจากบ้าน หรือ Mediation from Home” ในศาลทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดทำเพจโครงการเพื่อเป็นสื่อกลางประสานความร่วมมือและความเข้าใจแก่คู่ความที่ประสงค์จะใช้บริการการไกล่เกลี่ยออนไลน์ด้วย
โครงการที่ 3 คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น มุ่งให้ความสําคัญต่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาหรือจําเลย โดยคำนึงถึงเหยื่ออาชญากรรมและความสงบสุขของสังคมโดยรวม เน้นการฟื้นฟูหรือป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดกระทำหรือมีโอกาสกระทำความผิดขึ้นอีก เช่น การส่งเสริมให้ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจในการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้เหมาะสม การใช้มาตรการรอการกำหนดโทษ และมาตรการในการทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทั้งนี้เพื่อลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการใช้ดุลพินิจในการกำหนดเงื่อนไขในการเยียวยาผู้เสียหายตามที่เห็นสมควร
โครงการที่ 4 การพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนด้านแรงงาน มุ่งเน้นการให้ข้อมูลและให้บริการประชาชนในเชิงรุกเกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายแรงงาน เช่น การจัดทำ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” เปิดศูนย์ให้คำปรึกษา “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัยโควิด” และบริการ “Labour Court : Online For You” ในศาลแรงงานทั่วประเทศมุ่งเน้นการให้บริการประชาชนเชิงรุกเพื่อลดการเดินทางของคู่ความ รวมทั้งการให้ข้อมูลประชาชนเพื่อให้เข้าใจสิทธิและสวัสดิการของตนตามที่กฎหมายแรงงานที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและคู่ความที่ขาดรายได้หรือถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์ในปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลยุติธรรมทั่วประเทศ จะเริ่มดำเนินการตามโครงการ”ศาลยุติธรรมห่วงใย ฝ่าภัยโควิด” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2563
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage