อสส.รับลูกมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หากพบจำเลยกระทำผิดฐานเสพยาเสพติดอย่างเดียว ไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ส่งกลับไปชั้น พนง.สอบสวน เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) มีหนังสือลงนามโดยนายไพบูลย์ ถาวรวิจิตร รอง อสส. ปฏิบัติราชการแทน อสส. ถึงทุกหน่วยงานภายในสำนักงาน อสส. เรื่องแนวทางการดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยอ้างอิงสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5377/2562 (ประชุมใหญ่)
โดยหนังสือตอนหนึ่งระบุว่า ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5377/2562 วินิจฉัยปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ว่า เมื่อโจทก์มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยในความผิดฐานอื่น แล้วฟ้องจำเลยเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ย่อมมีผลเท่ากับว่า จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีเพียงอย่างเดียว อันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่อาจนำตัวจำเลยไปศาลภายใน 48 ชั่วโมงได้ ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ตอนท้าย
ดังนั้นเมื่อความผิดที่จำเลยถูกกล่าวหาคงเหลือเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 19 วรรคหนึ่งก่อน การที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้จำเลยได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเสียก่อนนั้น เป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สำนักงาน อสส. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงซักซ้อมแนวทางการดำเนินคดีซึ่งได้กำหนดไว้ตามหนังสือที่อ้างถึง โดยให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบ ยังไม่ต้องยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล แต่ให้แจ้งพนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ตอนท้าย ทั้งนี้ให้โอนสำนวนไปลงสารบบ (ส.1 ฟ.) แล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับคดีที่ได้มีการยื่นฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว หากศาลพิพากษายกฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พนักงานอัยการควรพิจารณาไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ในคดีดังกล่าว และให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage