องค์การยูนิเซฟออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวโดยเฉพาะกลุ่มที่ยากจนและเปราะบางที่สุดซึ่งกำลังได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากวิกฤตโควิด-19
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในแต่ละวัน ชีวิตของผู้คนจำนวนมากต้องพลิกผันและเผชิญกับความทุกข์และความสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนตกงานและพยายามเอาชีวิตให้รอดวันต่อวัน พ่อแม่จำนวนมากต้องดิ้นรนหาอาหารมาประทังชีวิตของลูก ๆ ความหวังในการมีอนาคตที่สดใสดูจะพร่าเลือนไปทุกที”
“ยูนิเซฟรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจจบชีวิตตนเองจากวิกฤตโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่ไม่สามารถหาอาหารมาให้ลูกทาน หรือพ่อที่หมดหนทางในการดูแลลูก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจอย่างที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาขาดโครงข่ายรองรับทางสังคมและไร้ที่พึ่งใด ๆ ในชีวิต”
“ยูนิเซฟระลึกถึงผู้สูญเสียเหล่านั้น มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ควรถูกปล่อยให้เผชิญกับความสิ้นหวังและเดียวดายอย่างไร้ที่พักพิงหรือคนพึ่งพา ไม่ควรมีใครต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ เพื่อประทังชีวิตต่อไปได้หรือไม่ แถลงการณ์นี้ตอกย้ำให้ทุกภาคส่วนเพิ่มความช่วยเหลือให้เข้าถึงเด็กทุกคนและทุกครอบครัวที่กำลังเดือดร้อน และต้องดำเนินการให้เร็วขึ้นก่อนที่จะสายเกินไป”
“ยูนิเซฟและหน่วยงานสหประชาชาติต่าง ๆ กำลังทำงานกับรัฐบาลไทยเพื่อยกระดับมาตรการความคุ้มครองทางสังคมเพื่อเข้าถึงประชากรที่เปราะบางที่สุด วิธีหนึ่งที่จะเข้าถึงผู้คนซึ่งกำลังเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที ก็คือ การเพิ่มเงินสนับสนุนในมาตรการทางสังคมที่มีอยู่แล้ว เช่น เงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กเล็ก และเบี้ยคนพิการ ในขณะเดียวกัน การขยายมาตรการเหล่านี้ให้เป็นแบบถ้วนหน้า และการช่วยให้เด็กทุกคนเข้าถึงบริการทางสุขภาพและสังคมถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะเช่นนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีเด็กคนใดตกหล่นจากความช่วยเหลือ”
“อย่างไรก็ตาม ยูนิเซฟตระหนักดีว่ามาตรการดังกล่าวอาจยังไม่สามารถเข้าถึงทุกครอบครัวที่กำลังเดือดร้อนได้ทันที ในภาวะวิฤตเช่นนี้ เราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจจากคนไทยและภาคธุรกิจไทยในการสร้างแนวทางการรับมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมความช่วยเหลือของรัฐบาลและอุดช่องว่างที่มีอยู่ ถึงเวลาแล้วที่ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน จะต้องเข้มแข็งไปด้วยกันเพื่อให้ประชากรที่เปราะบางที่สุดได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็นอย่างทันท่วงที”
“ยูนิเซฟเรียกร้องให้ประชาชนทุกคน ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และผู้มีชื่อเสียงในวงการต่าง ๆ เพิ่มความร่วมมือในการแบ่งปันทรัพยากร ความรู้และทักษะ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ยากจนและเปราะบางที่สุดในสังคม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเท่านั้นที่จะช่วยให้ประเทศไทยฝ่าฟันวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดครั้งนี้ไปได้ โดยไม่มีเด็กและผู้ใหญ่คนใดถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง”