
ศาลอาญา รัชดา เลื่อนนัดพิพากษา คดีอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 เป็น 7 ตุลาคม 68 เหตุจำเลยที่ 10 ไม่มาศาล-ไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลเห็นพฤติการณ์จะหลบหนี้ ออกหมายจับ-ปรับนายประกัน ส่วน อดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยจำเลยอีกราย อ้างติดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 20 สิงหาคม 2568 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. คนอื่นๆ รวม 10 คน ร่วมเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 10 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่อง ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ฝ่าฝืนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถาการณ์ฉุกเฉิน พศ.2548
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. - 9 เม.ย. 2552 พวกจำเลยร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พร้อมด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญๆหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น. นายวีระกานต์ หรือ วีระ มุสิกพงศ์ เดินทางมาถึงศาล โดยสวมเสื้อซาฟารีสีเทา สีหน้าเรียบเฉย มีผู้ติดตามคอยเดินประคองและมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายพายัพ ปั้นเกตุ นายณรงศักดิ์ มณี และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ เดินทางมาถึงที่ศาลอาญาพร้อมกับ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำนปช. และภรรยา โดยพูดกับสื่อมวลชนสั้น ๆ ว่า “วันนี้ ตนเองไม่มีความกังวลอะไรกับการพิพากษาของศาลในวันนี้ ส่วนคำพิพากษาจะเป็นโทษหรือเป็นคุณหรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งตนเองเคารพคำพิพากษาของศาลอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเชื่อในพยานหลักฐานว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น.นายจตุพร พรหมพันธุ์ เดินทางมาถึงศาลพร้อมให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นหน้าที่ที่ต้องเข้ามาฟังคำพิพากษาของศาลที่ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีเมื่อ 16 ปีก่อนหน้านี้ และเคารพคำตัดสินของศาลไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าในวันนี้ได้กลับมาเจอแนวร่วมเดิมที่เคยทำกิจกรรมการทางการเมืองร่วมกันมาก่อน แต่วันนี้ต้องอยู่คนละขั้วกันรู้สึกอย่างไรบ้าง นายจตุพร กล่าวว่า ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาถือเป็นประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ส่วนแนวทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของแกนนำแต่ละคนจะสามารถพูดคุยกันได้หรือไม่นั้น ในวันนี้ถือว่าทุกคนเป็นจำเลยร่วมกันจะต้องนั่งร่วมในซีกของจำเลยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกับแกนนำรายอื่นเป็นพิเศษ และยืนยันว่าไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกันเป็นการส่วนตัว
เมื่อถามว่าในวันที่ 22 ส.ค.นี้จะเป็นการพิพากษาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มองทิศทางหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนนั้นเป็นกระบวนการของศาลชั้นต้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องมาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนที่มีคนใกล้ชิดของนายทักษิณ มั่นใจว่าคดีนี้จะถูกยกฟ้องนั้น ตนเองมองว่าความมั่นใจกับข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะตนเองที่ผ่านคดีความมามากมายนั้นต่อให้มั่นใจอย่างไร แต่ผลลัพธ์สุดท้าย คือ ความจริงที่ปรากฏออกมา จึงเป็นธรรมดาของคนที่เป็นจำเลยย่อมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
เมื่อถามว่าหากวันนี้คำพิพากษาไม่เป็นคุณกับตนเองจะส่งผลกระทบกับการชุมนุมของกลุ่มหลอมรวมประชาชน ที่เป็นแกนนำอยู่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ไม่ส่งผล เพราะกลุ่มมีคนประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์อีกเป็นจำนวนมาก ตนเองเป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของกลุ่มนั้น
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลานัด ทนายความนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แจ้งต่อศาลว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายอดิศร ต้องเข้าร่วมประชุมจึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน 1 นัด ทั้งนี้ ในส่วนของจำเลยที่ 10 นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง รับทราบนัดแล้ว แต่ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลเห็นว่ามี พฤติการณ์จะหลบหนีให้ออกหมายจับ ปรับนายประกัน และให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 7 ต.ค. 68 เวลา 09.00 น. พร้อมทั้งกำชับให้จำเลยทุกคนมาศาลตามนัด หากจำเลยคนใดไม่มาศาล ศาลจะพิจารณาเพิกถอนการประกันตัว
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังจากศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา ว่า วันนี้ศาลนัดมาฟังคำพิพากษาในคดีชุมนุมช่วงเดือน เม.ย. พ.ศ.2552 และการชุมนุมที่พัทยา โดยจำเลยทั้งหมด 12 คน จากทั้งสิ้น 13 คนโดยเสียชีวิตไป 1 ราย คือ นายพีระ พริ้งกลาง มีเข้าฟังการพิจารณา 9 ราย อีก 2 ราย คือ นายพงษ์พิเชษฐ์ ทางทนายความแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้สักพักแล้ว และนายอดิศร ติดประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่สามารถเข้ามาฟังการพิพากษาได้ จึงเลื่อนวันอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 7 ต.ค. เวลา 09.00 น.และให้ออกหมายจับนายพงศ์พิเชษฐ์ และปรับนายประกัน และเนื่องจากว่าคดีนี้ใช้นายประกันคนเดียวกัน จึงประสานนายประกันและทนายความแถลงต่อศาลขอให้พิจารณาปรับนายประกันโดยหักยอดเฉพาะจำเลยที่ 10
ผู้สื่อข่าวถามว่า ว่าคดีนี้เป็นคดีเดียวกันกับการก่อการร้ายของกลุ่มนปช.หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นคนละคดีกัน คดีนั้นเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าในเดือน เม.ย. 2553 และได้สู้คดีจนคดียุติไปแล้ว
เมื่อถามว่าบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง และได้คุยกับนายจตุพรหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ได้มีการทักทายกันตามปกติ เพราะปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าตนเอง นายจตุพรและแกนนำคนอื่นได้ร่วมต่อสู้ทางการเมืองมาด้วยกัน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็อาจจะมีความเห็นและทิศทางทางการเมืองแตกต่างกันบ้าง และเชื่อว่าแกนนำรายอื่นก็คิดว่าจะเอาอุดมการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันไปทำลายความเป็นมิตรที่เคยต่อสู้ร่วมกันมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องทางการเมืองกับใครเท่าไหร่นอกจากการถามเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของนายวีระกานต์เท่านั้น
เมื่อถามว่าปัจจุบันยังได้มีการหารือทางการเมืองกับนายจตุพรหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่มีการหารือเป็นส่วนตัวหรือนัดหมายพบกันเป็นส่วนตัวอย่างแน่นอน แต่อย่างที่ได้บอกไปว่าตนเองและนายจตุพรร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่การชุมนุมในครั้งนั้น และในทางส่วนตัวไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกับนายจตุพร แต่ในทางการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยืนอยู่คนละขั้วกัน

เมื่อถามว่าในวันที่ 22 ส.ค.จะเป็นการพิพากษาคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาให้กำลังใจหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า คงไม่ได้มาในวันนั้น แต่ก็ขอให้กำลังใจนายทักษิณ และส่วนตัวมีความเห็นอยู่ 2 ประการ โดยประการแรก คิดว่าการแจ้งข้อหาม.112 ต่อนายทักษิณ ถ้าดูจากสถานการณ์ในเวลานั้นเห็นว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มุ่งใช้กฎหมายมาตรานี้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และประการที่ 2 มองว่า ไม่ใช่เฉพาะคดีนายทักษิณเท่านั้น แต่ใครก็ตามไม่ควรใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนหรือฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าวิถีทางความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยย่อมเกิดขึ้นได้ แต่การนำกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ในคยามขัดแย้งทางการเมืองไม่ควรเกิดขึ้น
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในส่วนของประเด็นของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนปากคำพยานในวันที่ 21 ส.ค.นี้ นั้น ขอให้กำลังใจกับนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปชี้แจงด้วยตนเอง และมีความเชื่อมั่นถึงเจตนาและวิธีการที่เกิดขึ้นในคลิปเสียงดังกล่าวที่ตั้งใจจะรักษาสันติภาพไม่ให้บายปลาย แต่ทุกอย่างล้มลงเพราะมีการแอบอัดเสียงและปล่อยออกมาเพื่อทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของไทย จึงมองว่าคนที่จะขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรงน่าจะเป็นผู้ที่ปล่อยคลิปเสียง และหากน.ส.แพทองธารพ้นจากตำแหน่งด้วยเรื่องนี้ ฝ่ายที่จงใจปล่อยคลิปเสียงจะมองว่าเป็นความสำเร็จทางการเมืองหรือไม่ และถ้าศาลจะมีคำสั่งออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับดุลพินิจของศาล
สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย
1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6.นายนายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกตุ
12.พีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล (เบิกตัวจากเรือนจำ)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา