
ทนายความ 'พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์' ให้ทบทวน เพิกถอนมติเดิมกรณีสั่งลงโทษ ชี้แพทยสภาไม่มีอำนาจดำเนินคดีจริยธรรม ย้ำหากมีการกระทำอันใดเข้าข่ายผิดกฎหมายสร้างความเสียหายจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการแพทยสภา มีนัดประชุมวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เพื่อพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์กรณีการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาล (รพ.) ตำรวจ โดยมีมติลงโทษ 3 แพทย์จาก รพ.ราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ ภายหลังจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้แจ้งความเห็นให้ยับยั้งมติลงโทษ แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ เป็นแพทย์ผู้ทําหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับในเรือนจํา ถูกลงโทษว่ากล่าวตักเตือน พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ เป็นเรื่องการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถูกลงโทษให้พักใบอนุญาต 3 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายเนติธร หลินหะตระกูล ผู้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ได้ส่งหนังสือ เรื่องขอให้ทบทวน เพิกถอนมติคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 โดยรุบว่า ผู้มอบอำนาจได้ทราบข่าวจาก สำนักข่าวอิศราและสื่อมวลชนออนไลน์ต่างๆ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ว่าแพทยสภาได้มีมติลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้มอบอำนาจ ในฐานะเป็นผู้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์
นายเนติธร ระบุว่า แพทยสภาไม่มีอำนาจดำเนินคดีจริยธรรมต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในกรณีซึ่งไม่มีความเสียหายของผู้ป่วย หรือมีการประพฤติหรือกระทำการใดๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์เห่งวิชาชีพ หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดย "ผู้กล่าวโทษ" หมายความว่า (1) บุคคลผู้รู้เรื่องความเสียหายอันเกิดจากการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นผู้ทำคำร้องต่อแพทยสภาเพื่อแจ้งเหตุที่ตนรู้เรื่อง ดังกล่าว กล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น... (2) คณะกรรมการ โดยคำร้องที่แพทยสภารับไว้พิจารณา ไม่ระบุ โรคใด ระดับใด จากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ปรากฏในการร้องเรียนแบบกล่าวโทษนั้น หรือระบุว่าผู้กล่าวโทษรู้เห็นว่ามีผู้ป่วยรายใครับความเสียหายจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมและไม่ระบุความเสียหายจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้ป่วยรายที่อ้าง เป็นกรณีเรื่องอื่นอันไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของแพทยสภาตามมาตรา 7 และไม่อยู่ในขอบเขตของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามมาตรา 4 แพทยสภาจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้ต่อผู้มอบอำนาจ ซึ่งหากใช้เรื่องนี้เป็นบรรทัดฐานแล้วในอนาคตอาจมีการร้องเรียนในลักษณะเดียวกัน อันทำให้แพทยสภาต้องดำเนินการอีกหลายกรณี ซึ่งนอกจากจะไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ยังส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับแพทย์ผู้ปฏิบัติวิชาชีพ และเป็นภาระหนักกับแพทยสภาต่อไป
นายเนติธร ระบุอีกว่า กรณีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ชุดเฉพาะกิจ โดยไม่ชอบกล่าวคือการที่ไม่นำเข้าคณะอนุกรรมการจริยธรรมตามลำดับ ที่มีในโครงสร้างแพทยสภาและแลงตั้งตั้งไว้แล้วกว่า 10 ชุด และไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ ซึ่งคณะกรรมการแพทยสภา รู้ หรือควรรู้ว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวมิใช่กรณีการร้องเรียนการประกอบวิชาชีเวชกรรม แต่ยังคงมีมติแต่งตั้ง อนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ชุดเฉพาะกิจ โดยไม่นำเข้าแบบเรียงลำดับชุดคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมที่มีอยู่ตามข้อบังคับเสียก่อน ตาม ข้อ 8 ของข้อบังคับแพทยสม่ภา ว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2563 อันเป็นการที่ไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และหลักการที่กำหนดไว้สำหรับปฏิบัติราชการทางปกครอง อันเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อสงสัยว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติและมุ่งหมายต่อผลที่ไม่เป็นธรรมกับผู้มอบอำนาจหรือไม่
นายเนติธร ระบุทิ้งท้ายในหนังสือว่า มติแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ไม่ถูกต้อง และดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายและคงไว้ซึ่งความเป็นกลางและยุติธรรม ขอให้คณะกรรมการแพทยสภาโปรดใช้ดุลพินิจอันถี่ถ้วนยุติธรรม และมีอิสระในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณา เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมั่นต่อประชาชนและไม่ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลใด หากมติดังกล่าวส่งผลทำให้ผู้มอบอำนาจได้รับความเสียหาย ข้าพเจ้ามีความจำเป็นที่จะตั้งต้องดำเนินการทางแพ่งและอาญาต่อไป






Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา