สภาผู้บริโภค จี้ อย. ดำเนินการทางกฎหมายกับบ.ผู้นำเข้า ‘องุ่นไชน์มัสแคท’ ที่มีวัตถุอันตราย-ห้ามใช้ในประเทศ แนะเลิกให้ข่าว ปลอดภัย-ไม่มีการตกค้าง ชี้ มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหารมาตรา 25
สืบเนื่องจากกรณี ผลจากการสุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท พบสารเคมีตกค้าง 23 ตัวอย่าง จากตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล พบสารพิษตกค้างเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่ประเทศไทยห้าม 2 ชนิดได้แก่ คลอไพริฟอส(Chlorpyrifos) และ เอ็นดริล อัลดีไฮด์ (Endrin aldehyde) พบเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินใดๆภายใต้กฎหมายไทย และพบมีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ขอให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทผู้นำเข้าผลไม้ที่มีวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่ห้ามใช้ในประเทศ คือ คลอไพริฟอส และ เอ็นดริล อัลดีไฮด์ เพราะถือเป็นผลไม้หรืออาหารที่ผิดมาตรฐานตรวจพบสารเคมีที่ห้ามใช้
“ไม่ใช่เลขาธิการอย.ออกมายืนยัน ว่า ปลอดภัยและไม่มีการตกค้างในเนื้อผลไม้ เพราะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 25 (3) และ (4) ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้าเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายซึ่งอาหารดังต่อไปนี้ 1. อาหารผิดมาตรฐาน และ 2.อาหารอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งมีการกำหนดโทษไว้ ดังนี้ ความผิดตามมาตรา 60 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 25 (3) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท มาตรา 61 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 25(4) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”น.ส.สารีกล่าว
น.ส.สารีกล่าวว่า ขอให้อย.เร่งต้องตรวจสอบผักและผลไม้ก่อนจำหน่วยให้ผู้บริโภค ว่า มีความปลอดภัย หากพบไม่ปลอดภัยต้องส่งคืนต้นทาง หรือทำลายทันที และกำกับมาตรฐานผักและผลไม้ให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายที่ห้ามใช้ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร ถือเป็นหน้าที่หลักของ อย. ที่ต้องทำหน้าที่เฝ้าระวัง และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากประเทศอย่างละเอียด จากการตรวจพบสารเคมีอันตรายที่ยกเลิกหรือห้ามใช้ไปแล้ว ต้องดำเนินตามกฎหมาย กับบริษัทที่นำเข้ามาจำหน่าย และต้องเรียกคืนสินค้านั้นออกจากท้องตลาดทันที
น.ส.สารีกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสภาผู้บริโภค ได้เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 และให้กลไกจัดการอาหารที่ไม่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วและสามารถปฏิบัติได้จริงเช่นที่นานาประเทศมีการดำเนินการ
น.ส.สารีกล่าวว่า ส่วนผู้ประกอบการหากยังมีองุ่นล็อตดังกล่าวเหลืออยู่ควรดำเนินการเก็บออกจากชั้นวาง หากจำหน่ายองุ่นล็อตดังกล่าวไปหมดแล้ว ควรแถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัปพลายเออร์ และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัปพลายเออร์ และแหล่งผลิตนั้น เมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก
น.ส.สารีกล่าวว่า ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรด และผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทาง ของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มา/ประเทศต้นทาง และฉลากต้องเป็นภาษไทย ระบุผู้จัดจำหน่าย ผู้นำเข้า ที่อยู่ เบอร์โทร ตั้งแต่นำเข้า ตลอดจนมีการขายแยกไปจำหน่ายแบบปลีกตามตลาดทั่วไป ก็ต้องมีการติดฉลากที่ถูกต้อง อย. ต้องกำกับดูแลอย่างจริงจังตามอำนาจและหน้าที่ที่มีในปัจจุบัน
น.ส.สารีกล่าวว่า ทั้งนี้ คลอร์ไพริฟอส มีผลต่อความผิดปกติของพัฒนาการทางสมองของเด็กที่แม่ได้รับระหว่างตั้งครรภ์ เด็กมีพัฒนาการช้า ความจำสั้น ไอคิวต่ำ สมาธิสั้น รวมถึงพัฒนาการด้านจิตใจ และมีผลต่อเนื่องแม้เมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม (https://eht.sc.mahidol.ac.th/article/2239) สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พบว่า สารนี้กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ H-29 ผ่านตัวรับ EGFR กระทรวงสาธารณสุขมีข้อเสนอให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ตัว ได้แก่คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเสต และใช้เวลากว่า 3 ปี จนคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้ยกเลิกการใช้ในที่สุด โดยคลอร์ไพริฟอสถูกประกาศยกเลิกการใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563
น.ส.สารีกล่าวทิ้งท้ายว่า ส่วนเอ็นดริล อัลดีไฮด์ เป็นสารเคมีอันตรายใช้ในการกำจัดแมลง กระทรวงเกษตรห้ามใช้ไปตั้งแต่ กรกฎาคม 2524 เนื่องจากมีความเป็นพิษสูงมาก