เครือข่ายเพื่อพลังงานที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน เรียกร้องรัฐบาลทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ 2024-มอบ 5 ข้อเสนอแก้ต้นตอค่าไฟแพง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 เครือข่ายเพื่อพลังงานที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน จัดงาน A Better world is Possible: ถกถามแผน PDP 2024 เพื่อประชาชนและโลกที่ดีกว่าเดิม ภายในงานมีการอ่านจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาแก้ไขร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับ 2024 (Power Development Plan: PDP 2024) โดยให้ความสำคัญกับข้อเสนอจากประชาชน เพื่อให้แผน PDP 2024 สร้างการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมต่อประชาชน ก่อนที่จะมีการอนุมัติในเดือนก.ย. 2567 โดยระบุปัญหา 3 ประการของร่างแผน PDP 2024 และข้อเสนอ 5 ประการ มีรายละเอียด ดังนี้
@ ปัญหา 3 ประการของแผน PDP 2024
(1) ระบบไฟฟ้าของประเทศไม่มั่นคง (unsecure)
ในร่างแผน PDP 2024 ระบบไฟฟ้าของไทยยังพึ่งพาแหล่งพลังงานนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า คือ เพิ่มการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อป้อนโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล การซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศลาวเป็นหลัก ทั้งนี้ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าจากการใช้ก๊าซฟอสซิลสูงถึงร้อยละ 58 (ปี 2566) ร่างแผน PDP และ Gas Plan วางแผนนำเข้า LNG ในช่วงปลายแผนสูงถึงร้อยละ 43 ซึ่งราคาของ LNG ในตลาดโลกมีความผันผวนสูง จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ผ่านมา และในอนาคต ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องแบกรับความเสี่ยงในด้านราคาที่ไม่แน่นอน
ด้านการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศลาว ข้อมูลในพ.ศ. 2566-2567 การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนพลังงานน้ำในลาวต่ำกว่าเป้าหมายถึงร้อยละ 20 ยิ่งไปกว่านั้น สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างรัฐและผู้ผลิตเอกชนไม่ได้ระบุถึงการรับผิดชอบในกรณีที่ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ตามเป้าหมายทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายภายใต้สัญญา “Take or Pay” หรือ “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” และสัญญาผูกมัดยาวนานสูงสุดกว่า 29-35 ปี รวมทั้งหายนะจากการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ วิถีชีวิตชุมชนที่เกิดจากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำโขง
(2) ต้นทุนค่าไฟฟ้า (Economy) แพงต่อเนื่องและย้อนกลับมาแก้ยาก
ที่ผ่านมา ไทยเผชิญกับปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกิน โดยปัจจุบันไฟฟ้าสำรองมากกว่า 20,000 เมกะวัตต์ เป็นผลมาจากการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างรัฐและผู้ผลิตเอกชน ซึ่งกำหนดให้รัฐต้องจ่ายเงินให้กับโรงไฟฟ้าไม่ว่าจะเดินเครื่องหรือไม่ก็ตาม ทำให้เกิดต้นทุนค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น
ท้ายที่สุด ต้นทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้จะถูกส่งผ่านมายังค่าไฟฟ้าของประชาชน ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตและยากต่อการแก้ไข
ในร่างแผน PDP มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงมหาศาลจำนวนมาก เช่น
• วางแผนสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาดใหญ่ 8 โรง รวมกำลังการผลิต 6,300 เมกะวัตต์
• การสร้างท่าเทียบเรือก๊าซ LNG สำหรับการนำเข้าก๊าซ ที่ใช้เงินลงทุนกว่า 66,000 ล้านบาท
• การเพิ่มสัดส่วนไฮโดรเจนเพื่อผสมกับก๊าซฟอสซิลในโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
• ต้นทุนของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งยังคงสูงกว่าพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น
• เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่มีต้นทุนสูงกว่า 100,000 ล้านบาท
(3) ไม่นำประเทศสู่การบรรลุเป้าหมาย Net zero
อดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเป้าหมายให้ประเทศไทยบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 อย่างไรก็ตาม ร่างแผน PDP ฉบับปัจจุบันนี้กลับขัดแย้งกับเป้าหมายดังกล่าวอย่างชัดเจน เนื่องจากร่างแผน PDP ฉบับนี้ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหินรวมสูงถึงร้อยละ 48 ผลการศึกษาหลายแห่งพบว่า ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ สัดส่วนของก๊าซฟอสซิลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจะต้องลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 20 ในปี 2050
พลังงานไฟฟ้าที่ระบุในร่างแผน PDP ฉบับนี้อ้างว่าเป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานน้ำจากเขื่อนและพลังงานนิวเคลียร์ ยังไม่สามารถถือว่าเป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง เนื่องจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมหาศาล และพลังงานนิวเคลียร์มีความเสี่ยงสูงและมีต้นทุนการจัดการกัมมันตรังสีที่สูง ซึ่งโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จะสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงอาหาร และวิถีชุมชนทั้งในประเทศและภูมิภาคอันประเมินค่ามิได้
ที่สำคัญ แผน PDP ฉบับนี้ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้พลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์บนหลังคาประชาชนที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบสายส่งเป็นลำดับแรก การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้ตามที่ประกาศไว้
จากกระบวนการรับฟังความเห็นที่ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่างแผน PDP ฉบับนี้และเปิดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นที่รอบด้านอย่างแท้จริง
@ 5 ข้อเสนอต่อการแก้ไขร่าง PDP 2024
- ให้คำนึงถึงแผนการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงานเป็นเป้าหมายสำคัญในการออกแบบ เพื่อให้บรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emission ภายในปี 2065
- ประกาศปลดระวางถ่านหิน โดยไทยจะสามารถเร่งเลิกใช้ถ่านหินได้เร็วสุดภายในปี 2027 เนื่องจากภาระทางสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกเดือดสูงกว่าพลังงานชนิดอื่น
- หยุดการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลใหม่และเขื่อนในลุ่มน้ำโขง
- ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศให้เต็มศักยภาพและป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งเป็นลำดับแรก เพื่อลดการพึ่งพาและนำเข้าพลังงานจากการนำเข้าต่างประเทศ เพิ่มความยืดหยุ่นในระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน ท้ังการทําสัญญาซื้อขาย และการนําเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานและการบริหารจัดการแบบกระจายศูนย์มาใช้
- เตรียมความพร้อมสำหรับการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากภาคครัวเรือนและ เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามสามารถขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party Access: TPA) ได้อย่างเต็มที่
ประชาชนผู้สนใจสามารถร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนกระบวนการและร่างแผน PDP 2024 ได้ที่ https://act.gp/pdp-petition