‘ตร.สอบสวนกลาง’ บุกตรวจค้นบริษัทนอมินีชาวรัสเซียใน จ.ภูเก็ต ผู้ต้องหา 231 คน พบของกลางรวมกว่า 1,500 ล้านบาท เผยผู้ต้องสงสัย ‘ตรีทิพ’ ถือหุ้นและเป็นกรรมการกว่า 272 บริษัท ชี้ตั้งแต่เกิดสงครมรัสเซีย-ยูเครน มีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในภูเก็ตเฉียด 6 หมื่นราย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ( ผบช.ก.) พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการกองคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กริช วรทัต ผกก.4 บก.ปอศ. พ.ต.ท.รุตินันท์ สัตยาชัย สว.กก.4 บก.ปอศ., พ.ต.ท.เชาว์นวุฒิ เลียบมา สว.กก.4 บก.ปอศ., พ.ต.ท.สาธิต หาวงษ์ชัย สว.กก.4 บก.ปอศ. พ.ต.ต.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.4 บก.ปอศ., พ.ต.ต.ไตรรงค์ หน่วยตุ้ย สว.ประจำ บก.ปอศ.นำกำลังเปิดปฏิบัติการ "CIB Operation Nominee Sweep ล้างบางเครือข่ายนอมินีต่างชาติในภูเก็ต"
@จับชาวรัสเซีย 98 ราย / นอมินีไทย 37 ราย
โดยตรวจค้นบริษัทรับทำบัญชี และ บริษัทซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 231 ราย ในฐานะนิติบุคคล 96 ราย,ในฐานะบุคคล จำนวน 135 ราย เป็นผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 98 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย และผู้ต้องหาชาวไทยที่เป็นนอมินีให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อีก 37 ราย ฐานความผิด “คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย, คนต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่คนต่างด้าวให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ) โดยคนต่างด้าวนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว”
และข้อหาชาวไทยฐาน “ผู้มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่คนต่างด้าว ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยง หรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ฯ”
@ยึดของกลางรวม 1.45 พันล้านบาท
พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 9 รายการ ประกอบด้วยสมุดบัญชีธนาคาร 225 เล่ม พบยอดเงินหมุนเวียนสำหรับจัดตั้งบริษัท 318,967,824.43 บาท ,เอกสารการถือครองที่ดิน จำนวน 245 รายการ จำแนกเป็น แยกห้องชุด จำนวน 196 ห้อง เนื้อที่รวมประมาณ 10,500 ตร.ม. ราคาประเมินประมาณ 1,000 ล้านบาท,โฉนดที่ดิน 43 แปลง เนื้อที่รวม 24 ไร่ ราคาประเมินไม่รวมสิ่งปลูกสร้างประมาณ 200 ล้านบาท ,หนังสือเดินทาง 196 เล่ม ,เอกสาร Work permit 108 เล่ม ,ข้อมูลการจัดตั้งบริษัท 800 บริษัท,ตราประทับบริษัทต่างๆ 1,601 อัน ,ป้ายบริษัท 13 ป้าย ,อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 4 เครื่อง ,เอกสารเกี่ยวกับบริษัทหลายรายการรวมมูลค่า ของกลางที่ตรวจยึดได้กว่า 1,500 ล้านบาท
@รัสเซียหนีภัยสงครามทำธุรกิจเกือบ 60,000 ราย
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีประชาชนในจังหวัดภูเก็ต ได้ร้องเรียน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า มีชาวต่างชาติชาวรัสเซียมาประกอบธุรกิจ และกว้านซื้อที่อยู่อาศัยจำนวนมากจนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือนร้อนเนื่องจากมูลค่าที่อยู่อาศัยสูงกว่าความเป็นจริง และเข้ามาทำธุรกิจแย่งอาชีพคนไทยเช่นการท่องเที่ยว สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง ต่อมานายกรัฐมนตรีสั่งการมายัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการ ผบ.ตร.มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ จึงสั่งการให้ บก.ปอศ.เข้าตรวจสอบพบกระทั่งพบว่า ช่วงหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีชาวรัสเซียเดินทางเข้ามาในภูเก็ตจำนวนมากถึง 59,717 ราย มีการจดทะเบียนบริษัทสูงผิดปกติจำนวนถึง 1,603 บริษัท
@พบคนไทยเป็นนอมินีอยู่ในบริษัทกว่า 272 แห่ง
พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทราบว่า มี นางยาน่า (Mrs. IANA) อายุ 45 ปี ซึ่งถือเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ มีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นร่วมกับคนไทยในสัดส่วนที่น่าสงสัย จำนวนถึง 9 บริษัท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนสูงสุดลำดับที่ 1 ของชาวต่างชาติเข้ามาร่วมถือหุ้นกับคนไทยในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยแยกเป็นประเภทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 7 บริษัท, ประเภทบริการ จำนวน 1 บริษัท และ ประเภทนำเที่ยว 1 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 38 ล้านบาท ตรวจสอบพบการถือครองอสังหาริมทรัพย์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม และอพาร์ทเม้นหรูในจังหวัดภูเก็ต ถึง 3 โครงการ จำนวน 176 ห้อง รวมมูลค่าราคากว่า 900 ล้านบาท
โดยมี นางสาวตรีทิพ (สงวนนามสกุล) นอมินี มีชื่อถือหุ้นร่วมกับ นางยาน่า โดยมีรายชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นถึง 272 บริษัท แยกเป็นบริษัทที่คนไทยถือหุ้นล้วน 142 บริษัท และบริษัทที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นร่วมอยู่ด้วยจำนวน 130 บริษัท รวมมูลค่าสูงถึง 268,300,863 บาท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องก่อนนำกำลังกว่า 50 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาได้ดังกล่าว
พ.ต.อ.กริช กล่าวว่า จากการตรวจสอบบริษัทของ น.ส.ตรีทิพ พบว่า ก่อตั้งเมื่อ 13 มิถุนายน 2559 ประกอบธุรกิจรับทำบัญชี และจดจัดตั้งบริษัทให้กับชาวต่างชาติ มีพนักงานจำนวน 22 คน โดย น.ส.ตรีทิพฯ ใช้ชื่อของตนเอง และกลุ่มเครือญาติ และลูกจ้างของบริษัทเข้าไปถือหุ้นร่วมกับชาวต่างชาติในสัดส่วนของคนไทยเพื่อหลบหลีกข้อกฎหมาย เบื้องต้นตรวจพบความเชื่อมโยงถึง 272 บริษัท โดยมีบริษัทจำนวน 130 บริษัท มีลักษณะเป็นบริษัทนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 679,000,000 บาท นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่า น.ส.ตรีทิพ ได้จดทะเบียนบริษัทที่มีเฉพาะคนไทยถือหุ้นอีกจำนวน 141 บริษัทโดยไม่มีการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด แต่เปิดไว้เพื่อใช้ในการขอวีซ่าธุรกิจ (Non B Visa) ใบอนุญาตทำงาน (work permit) และใช้ในการยื่นขอเปิดบัญชีธนาคาร โดยพบว่ามีการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้กับชาวต่างชาติและตรวจสอบพบชาวต่างชาติ 5 ราย เปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในการหลอกลวงคนไทยให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ผ่าน ระบบรับแจ้งความออนไลน์ (Thai police online) ไว้แล้วก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้จากการสอบสวน น.ส.ตรีทิพรับว่า ได้ค่าจ้างจากการเป็นนอมินีบริษัทละ 3-5 หมื่นบาท
พ.ต.อ.กริช กล่าวอีกว่า ทั้งนี้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาชาวต่างชาติ เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจำนวน 85 ราย และจากการตรวจสอบพบว่ามี 24 บริษัท มีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 245 รายการ จำแนกเป็นห้องชุด จำนวน 196 ห้อง เนื้อที่รวมประมาณ 10,500 ตารางเมตร โฉนดที่ดิน จำนวน 43 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 24 ไร่ ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมถึงประเด็นการได้มา หากตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวได้มาซึ่งที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ถือเป็นความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จฯ ต่อไป