ตำรวจปอท.จับ 2 เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ รวบผู้ต้องหา 6 คน-คืนเงินยายถูกหลอก 1.8 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 10.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผกก.3 บก.ปอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รายใหญ่ 2 คดี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวมจำนวน 6 คน พร้อมของกลางจำนวนมาก
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับคดีแรก เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปอท. ได้ทำการจับกุม นายเชน ยินไล (MR.CHEN YON LAI) อายุ 32 ปี สัญชาติจีน และ นายอนันต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี สองผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันทุจริตโดยนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบฟอกเงิน” พร้อมของกลาง เงินสด 11 ล้านบาท, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, โทรศัพท์ 7 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร 8 เล่ม, บัตรกดเงินสด 13 ใบ, รถยนต์ 5 คัน เครื่องนับเงินสด 1 เครื่อง และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 42 ล้านบาท โดยจับกุม นายเชน ได้ ที่ บ้านหรูแห่งหนึ่ง ย่านถนนราชพฤกษ์ แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ส่วน นายอนันต์ จับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา
พ.ต.อ.สุพจน์ กล่าวว่า สำหรับการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายปี 2566 ได้มีการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีการสร้างเว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเงินผู้คน โดยครั้งนั้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้จำนวน 5 ราย ก่อนจะขยายผลเรื่อยมา กระทั่งทราบว่ามีการทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ยังมีผู้ร่วมขบวนการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆอีกหลายราย โดยเฉพาะนายเชน กับ นายอนันต์ ผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการกระเป๋าดิจิทัลที่ใช้ในการทำผิด และ คอยแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้กลายเป็นเงินสดเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายเงินของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ พร้อมนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 8 จุด แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 4 จุด, สมุทรปราการ 2 จุด ฉะเชิงเทรา 2 จุด และ นครราชสีมา 1 จุด จนนำมาสู่การจับกุมตัวได้พร้อมของกลางดังกล่าว นอกจากนี้ยังทำการเชิญตัวผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบปากคำอีก 5 ราย
“จากการสอบสวน นายเชน กับ นายอนันต์ ให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากตรวจสอบโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดได้จากนายเชน พบว่ามีการใช้แอปพลิเคชันหนึ่งในการบริหารจัดการกระเป๋าดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายใบ มียอดเงินหมุนเวียนของกระเป๋ารวมกว่า 7 หมื่นล้านบาท รวมถึงมีข้อมูลตรงกับระบบรับแจ้งความออนไลน์ กว่า 30 คดี” พ.ต.อ.สุพจน์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวนทราบว่า นายเชน ถือเป็นกุญแจสำคัญของขบวนการดังกล่าว โดยจะทำหน้าที่ฟอกเงินแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิตอลเป็นเงินสกุลต่างๆ ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีฐานปฏิบัติการในประเทศกัมพูชา อีกทั้งตัวของ นายเชน ยังใช้ชื่อของบุคคลอื่นที่มีสัญชาติไทยในการทำธุรกรรมเพื่อซื้อและถือครองทรัพย์สินหลายรายการด้วยเงินสด อาทิเช่น บ้านเดี่ยว 2 ชั้น, ที่ดิน, รถยนต์และทรัพย์สินมีค่าเครื่องประดับ อีกทั้งจากการตรวจสอบวีซ่าของ นายเชน ยังพบว่าเป็น วีซ่าประเภท อีลิท การ์ด แพคเกจแบบ 5 ปี และในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ยังพบภรรยาสัญชาติจีนของ นายเชน พักอาศัยอยู่ด้วยกันกับ ลูก 3 คน โดย นายเชน ได้ให้ภรรยาของตนจดทะเบียนสมรสกับชายไทยและให้ชายไทยคนดังกล่าวรับเป็นบิดาของลูกทั้ง 3 คน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ลูกที่เกิดมาได้รับสัญชาติไทยอีกด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ กล่าวว่า สำหรับคดีที่สอง เจ้าหน้าที่ได้จับกุมขบวนการลักลอบขนทีมงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้ามพรมแดนธรรมชาติ บริเวณ อ.อรัญประเทศ ประกอบด้วย นายเฉิน (Mr. Zheng) อายุ 31 ปี สัญชาติจีน ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” และตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับของตำรวจสากล (Red Notice) ในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ความเสียหายกว่า 40 ล้านหยวน , ร.ต.ท.อังคะ อายุ 70 ปี อดีตตำรวจ , นายดาเล็ก อายุ 35 ปี และ นายซุ่น อายุ 31 ปี ทั้งสอง สัญชาติกัมพูชา ตามหมายจับ “ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรฯ” โดยจับกุม นายเฉิน ได้บนทางหลวงหมายเลข 33 อ.เมือง จ.สระแก้ว ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือจับได้ที่ตลาดโรงเกลือ ต.คลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากศูนย์ AOC: Anti Online Scam Operation Center กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้สืบสวนเกี่ยวกับการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยพบว่ามีนายหน้าเข้าไปติดต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ จ.สระแก้ว ให้เปิดบัญชีธนาคารแบบออนไลน์และเดินทางข้ามชายแดนไทยกัมพูชา เพื่อไปทำหน้าที่สแกนหน้ารับเงิน เมื่อมีเงินจากผู้เสียหายโอนเข้ามาที่บัญชีม้าและทำรายการโอนเงินให้กับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ กล่าวต่อว่า จากการสืบสวนพบว่า บุคคลที่ถูกว่าจ้างให้ไปเปิดบัญชีม้าเหล่านี้ จะเดินทางไปออกไปจากไทย ด้วยเส้นทางธรรมชาติบริเวณตลาดผลไม้ (ภายในพื้นที่ตลาดโรงเกลือ) ต.คลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และยังพบว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการเดินทางออกไป เฉลี่ยวันละ 60-70 คน โดยมีนายทุนชาวกัมพูชาชื่อ “ดาใหญ่” เป็นผู้เก็บเงิน ครั้งละ 3,000 บาทต่อคนต่อครั้ง นอกจากนี้ตรวจสอบพบอีกว่า เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่ชาวจีน ซึ่งเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้ในการหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอีกด้วย
พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ กล่าวอีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าสังเกตการณ์เรื่อยมา กระทั่งพบว่ามีกลุ่มชาวจีน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้เดินทางลักลอบเข้ามาในไทยผ่านเส้นทางดังกล่าวจริง จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสกัดจับนายเฉิน ขณะกำลังนั่งรถรับจ้างเดินทางไป กทม. เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศลาว และจากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนพบว่า เป็นบุคคลที่มีการออกหมายจับของตำรวจสากล (Red Notice Interpol) และรัฐบาลจีนต้องการนำตัวกลับไปดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งในส่วนนั้นมีผู้เสียหายจำนวน 121 ราย คิดเป็นความเสียหายกว่า 40 ล้านหยวน
พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบทราบว่า นายเฉิน มีหน้าที่ในวางแผนทางการเงินของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การจัดการองค์กรและการฟอกเงิน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้นำตัวส่ง สภ.เมืองสระแก้ว ดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และผลักดันตัวคนร้ายเพื่อไปดำเนินคดีต่อในประเทศจีน ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือพบว่ามีกน้าที่รับจ้างนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลักลอบเข้าประเทศกัมพูชา ทางช่องทางธรรมชาติ โดยคิดค่าหัวคนละ 3,000 บาท ก่อนนำตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ดำเนินการตามกฎหมาย จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามตัว นายดาใหญ่ ที่ยังหลบหนี มาดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว พล.ต.ท.จิรภพ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ศูนย์ AOC กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์ ยังได้ส่งมอบเงินสดจำนวน 1.8 ล้านบาท กลับคืนให้กับยายผู้เสียหายรายหนึ่ง หลังสามารถให้การช่วยเหลืออายัดเงินจำนวนดังกล่าวได้ทันเวลาขณะกำลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงิน
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางศูนย์ AOC ได้จับตาบัญชีม้าที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยพบมีเงินจำนวนดังกล่าวโอนเข้ามาจึงประสานกับเจ้าหน้าที่สมาคมธนาคารไทยทำการอายัดไว้ได้ทัน ก่อนนำมาคืนผู้เสียหายดังกล่าว ทั้งนี้ทางเรามีข้อมูลบัญชีม้าต้องสงสัยอยู่กว่า 3 แสนบัญชี ซึ่งตอนนี้ได้มีการจับตาบัญชีม้าแบบเรียลไทม์ซึ่งสามารถบล็อคบัญชีต้องสงสัยได้ทันท่วงที ซึ่งอายัดเงินได้หลายร้อยคดี
ด้าน นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางสมาคมธนาคารไทยได้มีการทำงานประสานกับศูนย์ AOC ในความรับผิดชอบของตำรวจสอบสวนกลางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันเสมอตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้มีการเฝ้าสังเกตบัญชีม้าต้องสงสัยอยู่แล้ว เมื่อพบว่ามียอดเงินโอนเข้ามาผิดปกติ ทางธนาคารจึงอายัดบัญชีดังกล่าวทันที พร้อมทั้งประสานไปยังศูนย์ AOC เพื่อรีบติดต่อผู้เสียหาย ซึ่งทำให้สามารถระงับยับยั้งก่อนที่ผู้เสียหายจะโอนเงินอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ในกรณีดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่แจ้งเตือนผู้เสียหายถึงบัญชีปลายทางที่รับโอนว่าเป็นบัญชีต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ผู้เสียหายกลับต่อว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า"เงินของฉัน ฉันจะโอนให้ใครก็ได้ " ซ้ำยังจะโอนไปให้คนร้ายเพิ่มอีก 1.4 ล้านบาท จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับการโอนไว้ได้ทัน