‘เศรษฐา’ ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ หลังปรับครม.หลุดรองนายกฯ แต่ตอบโต้นั่งควบสองตำแหน่งไม่จำเป็น ยอมรับจดหมายลาออกไม่ได้แจ้งก่อน ส่วนคนอื่นที่หลุดแล้วเกิดกระเพื่อมเป็นเรื่องธรรมดา ด้านเพื่อไทยเตรียมเรียกเข้ามาคุยในพรรค ปัด ‘นพดล ปัทมะ’ เสียบรมว.ต่างประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 29 เมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ลาออกหลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องของโผอย่างที่บอก ถ้าพร้อมแล้วก็บอก ซึ่งเป็นเรื่องของขั้นตอนที่จะต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมา บางทีผู้สื่อข่าวถามมา อาจไม่เหมาะสมที่จะพูดก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าฯ กันมา ขอให้เข้าใจด้วยตรงนี้
@ยอมรับหนังสือลาออกไม่ได้แจ้งมาก่อน
ส่วนเรื่องของนายปานปรีย์ ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน และโดยส่วนตัวได้รู้จักกับท่านมาหลายสิบปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน ส่วนตัวรักชอบกันดี ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนนายปานปรีย์จะเผยแพร่หนังสือลาออกก่อนที่จะส่งให้กับนายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ได้ยินก็เป็นอย่างนั้น
เมื่อถามว่า แสดงถึงความไม่พอใจหรือเปล่า นายเศรษฐา กล่าวว่า
“ผมถือว่าผมพูดในแง่องค์รวมมากกว่า ในการที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือ ครม. ผมเชื่อว่า คงมีคนที่พอใจไม่พอใจ สมหวังและไม่สมหวัง จริงๆ แล้ว ผมอยากจะโฟกัสในสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีช่วงเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมาดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีๆเหล่านี้“
@ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ แล้ว
เมื่อถามอีกว่า ก่อนที่จะปรับครม. นายกรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยหรือแจ้งกับนายปานปรีย์ ก่อนหรือไม่ และหลังที่นายปานปรีย์ลาออกได้มีการพูดคุยกันแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ขอตอบคำถามหลังก่อน ผมได้มีการส่งข้อความไปหานายปานปรีย์ ในกรุ๊ปที่เกี่ยวกับเรื่องของการต่างประเทศ ผมบอกว่า ผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา และเรื่องที่ถามว่าได้มีการแจ้งนายปานปรีย์ก่อนที่จะปรับ ครม.หรือไม่นั้น
“อย่างที่ผมเรียนเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ได้มีการเชิญหลายๆท่านมาพูดคุยกัน และนายปานปรีย์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆท่านที่เรียกเข้ามาพูดคุยกัน ผมเชื่อว่าวันนั้นก็เป็นเรื่องของการสนทนาระหว่างบุคคลสองคนแล้วกัน ผมมั่นใจว่า ผมพูดอะไรไป และผมเชื่อว่าในฐานะนายกฯ ผมมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ผมได้มีการบอกกล่าวอะไรไป” นายเศรษฐากล่าว
@ภูมิธรรม รักษาการ รมว.ต่างประเทศ อุบชื่อคนใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศโดยเร็วใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ใช่ ซึ่งจะต้องมีการทูลเกล้าฯรายชื่อใหม่ กับคำถามว่า ระหว่างนี้นายกรัฐมนตรีจะดูแลเองหรือมอบหมายใคร นายเศรษฐากล่าวว่า ตามประกาศเก่าของครม. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะดูแลไป
เมื่อถามว่า ได้มองหาบุคคลใหม่แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า มองแล้วและมองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เมื่อถามว่า เปิดเผยได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ได้ ซึ่งต้องมีการผ่านคณะกรรมการคัดกรองและอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่อยากจะให้เป็นการบอกไปแล้ว เดี๋ยวจะเกิดความสมหวัง ผิดหวังอีก ต้องเคารพในแง่กระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่มีมา ยืนยันว่าจริงๆแล้วทั้งหมดนี้ เข้าใจว่าจะต้องมีคนไม่ใช่แค่นายปานปรีย์ท่านเดียว คงมีหลายท่านที่จะมีสมหวังและอาจจะมีไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าตนรับผิดชอบ และต้องมีการพูดคุยกัน
เมื่อถามว่า ที่มองไว้เป็นคนในพรรคหรือคนภายนอกการเมือง นายเศรษฐา กล่าวว่า พูดลำบาก เพราะจริงๆแล้วท่านเองอยู่ในแวดวงของการทูตมา และแวดวงการเมือง ก็อาจจะเป็นคนทำงานข้างหลังของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด และจิตวิญญาณแน่นอน คิดถึงประโยชน์พี่น้องประชาชน
@โต้ปานปรีย์ ควบรองนายกฯ ไม่จำเป็น
เมื่อถามอีกว่า นายปานปรีย์ให้เหตุผลว่าการที่เป็น รมว.การต่างประเทศ ต้องควบรองนายกฯด้วยเพื่อความน่าเชื่อถือ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีเหตุมีผล แต่ทุกๆกระทรวงเองก็อยากจะมีการควบด้วยในตำแหน่งรองนายกฯหรือเปล่า ซึ่งหลายๆตำแหน่งจะต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงานและบุคคลทั้งหลาย ปัจจุบันนี้เราก็มีรองนายกฯ 6 ท่านแล้ว เชื่อว่าเพียงพอ ถ้าทุกๆ กระทรวง 9 กระทรวงต้องมีรองนายกฯด้วยก็คงเป็นไปไม่ได้
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ในแต่ละรัฐบาล มีทั้งรองนายกฯควบรมว.การต่างประเทศเหมือนกัน ตนขอใช้คำว่าอำนวยความสะดวกหรือมีการช่วยเหลือ ผลักดันเรื่องต่างๆ หากจะต้องมีการทำงานข้ามกระทรวง เช่น วีซ่าฟรี อาจจะต้องมีการทำงานข้ามไปถึงกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคงด้วยเหมือนกัน เรื่องของการทำเขตการค้าเสรี (FTA) ก็มีกระทรวงพาณิชย์ด้วย มีผู้แทนการค้าไทย ซึ่งเชื่อว่าเราทำงานเป็นทีมได้อยู่แล้ว และใช้คำว่าความจำเป็นดีกว่า ที่จะต้องมีการควบ ตนถือว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่อย่างที่บอกหลายๆเรื่องมุมมองของแต่ละคนแตกต่างกันไป และเราเองก็มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป และคิดว่าเราควรจะยึดโยงในเรื่องความเป็นมิตรดีกว่า และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อย่างที่ได้เรียน ถ้าตนทำงานแล้วไม่พอใจก็ได้ขอโทษท่านไปแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ตนรับผิดชอบ และจะพยายามดำเนินการต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายเอาประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
@เสียดาย แต่ต้องปรับเพราะความจำเป็น
เมื่อถามว่า รู้สึกเสียดายนายปานปรีย์หรือไม่ เพราะได้รับคำชื่นชมทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านว่านายปานปรีย์ทำงานได้ดี นายกฯ กล่าวว่า เชื่อว่าตรงนี้ เสียดายทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนออกไป แต่ในบริบทของการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆช่วงเวลาที่เราบริหารประเทศมันมีความจำเป็น หรือมีความต้องการของการแก้ไขปัญหาจึงต้องมีการเปลี่ยนบุคลากร ไม่ใช้แค่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว ฝ่ายนิติบัญญัติเองก็ต้องมีการปรับเพื่อให้บุคคลที่เหมาะสม และมีความชำนาญมากกว่าในด้านนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ถูกปรับออกไม่มีความสามารถในการบริหาร แต่อย่างที่บอกรัฐบาลนี้อยู่ 4 ปี และในอดีตก็ไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก ก็มีหลายๆเคสที่ออกไปแล้วได้กลับมาอีก
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯ เคยบอกว่าปรับ ครม.ครั้งนี้จะไม่ผิดฝาผิดตัว มั่นใจใช่หรือไม่ว่าไม่ผิดฝาผิดตัว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มั่นใจ แต่แน่นอนมุมมองของแต่ละคนมีความเห็นและเข้าใจในบุคคลนั้นๆที่เข้ามาทำงานแตกต่างกันไป แต่ตนมั่นใจว่าบุคคลที่ดึงเข้ามาทำงานเป็นคนที่มีความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญตรงตามกระทรวงทุกอย่าง
@รับมีคุย ‘อุ๊งอิ๊ง’ เรื่องปรับครม.
เมื่อถามว่า ได้มีการเตรียมตำแหน่งปลอบใจสำหรับรัฐมนตรีที่หลุดครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็การเตรียมงานและเดี๋ยวต้องมีการพูดคุยกันในพรรค ยืนยันว่าตนไม่ได้มีความขัดแย้งส่วนตัวกับรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ว่าคงมีคนผิดหวังและสมหวังอย่างที่ตนบอก และเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องบริหารเรื่องของความคาดหวังและเรื่องของหน้าที่ใหม่ใหม่ ควบคู่ไปกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย
เมื่อถามต่อว่า ได้มีการพูดคุยกับนางสาวแพทองธาร ก่อนหน้านี้หรือไม่ว่าอาจจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นหลังการปรับ ครม. นายกฯ ยืนยันว่าได้มีการพูดคุยกันตลอด วันหนึ่งสองถึงสามครั้งก็มีในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรี มีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย
เมื่อถามต่อว่า มีรัฐมนตรีอีกหนึ่งคนที่ แสดงความไม่พอใจคือนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต รมว. สาธารณสุข เพราะช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่การหาเสียงและการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคก็ควบคู่กันมาตลอด นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ใช่นพ.ชลน่านเพียงคนเดียว ยังมีนายไชยา พรหมา อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ช่วยทำงาน เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดในช่วงการเลือกตั้ง
“ ผมก็เคยพูดว่าพี่หมอชลน่านเองเป็นคนที่ช่วยติว เวลาที่ผมจะลงพื้นที่รวมถึงการปราศรัยต่างๆ เราก็ต่อสู้ด้วยกันมา แต่ยืนยันยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว หรือมีความขัดแย้ง อะไรแต่ก็เข้าใจว่าท่านคงมีความผิดหวัง แต่เดี๋ยวก็คงมีการพูดคุยกันก็หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้ ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีจะพูดกับ ครม. ชุดใหม่ คืออะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า มีสองขั้นตอน โดยจะเป็นการพูคคุยส่วนตัว ก่อนว่าแต่ละท่านตนมีความคาดหวังอย่างไร และบางคนรู้จักกันมาก่อน เคยทำงานกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีจุดแข็ง และจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงคืออะไร ซึ่งตนก็จะฟังด้วยว่า ที่ท่านทำงานมากับตน และถูกเปลี่ยนกระทรวง หรือเข้ามาใหม่ มองว่าตนมีความบกพร่องอย่างไร เรื่องไหน ตนจะได้นำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ตนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าในแง่ของการพูดคุยเจรจากับครม. ที่เข้ามาใหม่
ส่วนในองค์รวมที่เราพูดคุยกันในวันที่จะมีการประชุมครม.นั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องมีการพูดคุยถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และเรื่องการประสานงานระหว่างกระทรวง เป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันเรื่องการทำงานไม่ใช่ว่าจะสามารถจัดทำงานได้กระทรวงเดียว บางเรื่องต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงในการผลักดันข้อกฎหมายหรือในแง่ของการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายหลักของรัฐบาล
@ไม่บอกอะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อน ครม.ชุดที่แล้ว
ผู้สื่อข่าวขอให้นายกรัฐมนตรี พูดถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ควรจะไปพูดคุยในสถานที่ที่เหมาะสมจะดีกว่า เพราะแต่ละคนอาจจะไม่อยากให้พูด ว่าจุดอ่อน จุดแข็งคืออะไร เป็นเรื่องที่ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการบริหารงาน และตนเองก็น้อมรับในเรื่องที่ตนเองอาจจะบกพร่อง หรืออาจทำไม่ถูกต้อง ไม่ดีก็น้อมไปปฏิบัติอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าเหตุใดจึงมีการตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถึงสามคนโดยการโยกนายจักรพงษ์ แสงมณี จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักด้วย นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่บอกความเข้าใจของตนก็คือ นายปานปรีย์เหลือเพียงตำแหน่งเดียวคือรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะได้โฟกัสงานมากยิ่งขึ้น ความต้องการในส่วนของรัฐมนตรีช่วยก็อาจจะน้อยลงไป และการที่ให้นายจักรพงษ์ มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็เป็นไปตามที่ผู้สื่อข่าวคาดการณ์คือให้มาดูแลเรื่องงบประมาณ เพราะเคยเป็นเลขานุการอดีตรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง สมัยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้อยู่แล้ว ก็จะได้มาช่วยผลักดันนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า งบประมาณปี 2567 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภา ทำให้เหลือเวลาเพียง 5 เดือนในการใช้งบประมาณ ปี 2567 ซึ่งถือว่ามีความท้าทายที่ต้องเร่งจัดการเรื่องงบประมาณไปสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้
นายเศรษฐา กล่าวว่า บ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะเชิญนายพิชัย ชุณหวชิร ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระจายงบประมาณอยู่แล้วมาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนว่ามีอะไรบ้าง ทุกอย่างจะพยายามทำให้ดีที่สุดและยืนยันว่าจะต้องมีการพูดคุยกันและหวังว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยดี
@แรงกระเพื่อมหลังปรับ ครม. เรื่องธรรมดา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกังวลเรื่องของแรงกระเพื่อมหรือไม่เพราะยังมีความไม่พอใจในการปรับและโยกกระทรวง นายเศรษฐาย้อนถามว่าสลับตำแหน่งระหว่างใครกับใครถามให้ชัดจะได้ตอบได้ชัดเจน อย่างตรงไปตรงมา ก่อนกล่าวต่อว่า ส่วนตัวเชื่อว่าแรงกระเพื่อมความไม่พอใจ ก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ ที่พอใจคงไม่พูดซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ต้องเคารพกับตำแหน่งที่เข้ามาทดแทน ส่วนคนที่ไม่พอใจก็เป็นหน้าที่ของตนต้องอธิบาย และพยามที่จะหาตำแหน่งใหม่ใหม่หรือหางานที่เหมาะสมรองรับ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นทีมไทยแลนด์ เราเป็นทีมงานที่มาทำงานเพื่อประชาชน
เมื่อถามว่า ในอนาคตภูมิคุ้มกันที่ดีของรัฐมนตรีคือการทำงานเพื่อประชาชนใช่หรือไม่ นายเศรษฐายืนยันว่า ใช่ และตนยืนยันมาโดยตลอด และยึดโยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งเชื่อว่า รัฐมนตรีทุกท่านไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือว่าที่คนใหม่ก็เข้าใจอยู่แล้วถึงความเดือดร้อนใจของประชาชน เพราะฉะนั้นเรื่องการใช้ความชี้วัดและระยะเวลาในการทำงานให้สำเร็จ เรื่องการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตยึดโยงกับพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
@กระทรวงคลัง งานเยอะ ต้องมี รมว.-รมช.คลังใหม่
เมื่อถามว่า การเพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมาอีกหนึ่งคน เพื่อมาช่วยดูเรื่องของดิจิตอลวอลเลตที่จะต้องรอบคอบ และสัปดาห์นี้จะมีการเรียกประชุมเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครับ ความจริงแล้วกระทรวงการคลังมีภารกิจเยอะมาก ขณะที่นายพิชัยเองก็ควบรองนายกรัฐมนตรีด้วย ทำให้มีภารกิจที่จะต้องดูแลหลายอย่าง และมีหน่วยงานของรัฐอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งจะต้องแบ่งปันซึ่งจะต้องมีการแบ่งงานกันเพื่อทำงาน เพราะฉะนั้นทั้งสามคนมีงานล้นมืออยู่แล้ว
ขณะที่ว่าที่รัฐมนตรีคนใหม่อย่างเช่นนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ก็เคยอยู่ กระทรวงการคลังมาก่อน และเป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทยและทีมงานเศรษฐกิจอยู่แล้วและมีความชำนาญงานอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าเป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำงานใหม่และการแบ่งงานใหม่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งตนให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว
สรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
@เพื่อไทย เตรียมนัดคุย ปานปรีย์
ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่งว่า นายปานปรีย์ยังไม่ได้มีการติดต่อมาที่พรรค ซึ่งเรื่องการพูดคุยไม่ได้เกี่ยวกับพรรคเท่าไหร่ และเท่าที่เข้าใจ นายกรัฐมนตรีได้เชิญรัฐมนตรีที่จะถูกปรับเข้าและออกมาพูดคุยแล้วเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ก่อนที่จะมีการทูลเกล้าฯ
เมื่อถามถึง รมว.ต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุมีการวางตัวไว้แล้ว มีประวัติเป็นนักการทูต ในพรรคมีการคุยหรือไม่ว่าเป็นใคร นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นอำนาจของนายกฯ โดยอำนาจ พรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้าไปยุ่ง อยากให้เป็นดุลยพินิจและการตัดสินใจของนายกฯ
เมื่อถามย้ำว่า พรรคจะต้องมีการคุยกับนายปานปรีย์หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า คงต้องมีการพูดคุย อาจจะต้องเชิญมาเป็นที่ปรึกษา แต่ต้องแล้วนายปานปรีย์ด้วย ซึ่งนายปานปรีย์ก็ทำงานให้พรรคมามาก อยู่เบื้องหลังพรรคมาโดยตลอด พวกเราก็ให้ความเคารพกับการตัดสินใจของนายปานปรีย์อยู่แล้ว
ส่วนที่มองกันว่าคุณสมบัติของ รมว.ต่างประเทศ ที่เอ่ยถึงเป็นนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยนั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่สามารถตอบได้จริงๆ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น่าเกิดกระเพื่อมต่อพรรค ซึ่งพรรคการเมืองก็คือพรรคการเมือง เราทำหน้าที่ดูแลประชาชนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นทั้ง สส.เขตและบัญชีรายชื่อ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ใครจะมาอยู่ในตำแหน่งไหนอย่างไร เราทำงานร่วมกันได้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการวางรัฐมนตรีที่หลุดจากตำแหน่ง อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย อย่างไร เพราะมีกระแสข่าวว่าจะถูกวางตัวให้ไปช่วยงานสภาฯ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เป็นปกติของการเมือง มีเข้าก็มีออก ด้วยความรักและเคารพ ทุกท่านที่เคยอยู่ตำแหน่งและออกมาไม่ใช่ที่สิ้นสุด รัฐบาลยังอยู่อีกนาน 3 ปี ยังมีการปรับเข้าออกได้เสมอตามที่นายกฯ เคยพูดเอาไว้
“จริงๆ แล้ว การทำงาน พวกผมเป็น สส. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นพ.ชลน่าน และนายไชยา ก็เป็นสส.เขต ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ สส.อยู่แล้ว ก่อนที่จะไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี ฉะนั้น ผมคิดว่าทั้ง 2 ท่าน คงไม่มีอะไรที่ต้องปรับตัว เพราะหน้าที่หลักคือการเป็น สส.ระบบเขตอยู่แล้ว” นายสรวงศ์ กล่าว