‘สภาผู้บริโภค’ เสนอ ‘กกพ.’ ทบทวนค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2567 หลังกำลังการผลิต ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ในอ่าวไทย เป็นไปตามสัญญาแล้ว คาดลดค่าไฟฟ้าเฉลี่ยลงมาที่ 3.99 บาท/หน่วยได้
...........................................
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มอบหมายให้สำนักงาน กกพ. เปิดรับความเห็นเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2567 ซึ่งมี 3 ทางเลือก โดยกำหนดค่าไฟฟ้าเฉลี่ยระหว่าง 4.18-5.44 บาทต่อหน่วย ว่า สภาผู้บริโภคขอเสนอทางเลือกที่ 4 คือ ให้ กกพ. คิดค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) ในราคาที่ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเท่ากับ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นราคาค่าไฟฟ้าที่รวมการจ่ายคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว
โดยขอให้ กกพ. คำนึงถึงนโยบายของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ที่ได้สั่งการให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เร่งเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้เป็นไปตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต และปัจจุบันก็ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะสามารถช่วยลดราคาค่าไฟฟ้าได้ 15-20 สตางค์ต่อหน่วย
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้จัดทำข้อเสนอแนะไปยัง รมว.พลังงาน ให้พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อลดค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายลง ดังนี้
1.ควรติดตามการดำเนินงานของ กกพ. โดยก่อนหน้านี้ สภาผู้บริโภคได้เสนอให้ กกพ. อนุญาตให้ กฟผ. นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้เองโดยไม่ต้องซื้อผ่าน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคาเชื้อเพลิง ทั้งนี้ อาจมีการกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำที่ กฟผ. ต้องซื้อ LNG จาก ปตท. ไว้ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการต้นทุนระยะยาวของ ปตท.
2.ควรพิจารณาลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้า โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงพลังงานเจรจายืมโควตาการใช้ก๊าซในแหล่งพื้นที่เหลื่อมล้ำบริเวณไหล่ทวีปของสองประเทศหรือที่เรียกกันว่า เจดีเอ (JDA : Joint Development Area) คือ ประเทศไทย-มาเลเซีย โดยเพิ่มสัดส่วนให้แก่ประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีแรก และคืนโควตาที่ยืมให้แก่มาเลเซียในภายหลัง เหมือนที่มาเลเซียเคยยืมโควตาประเทศไทยมาก่อนในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนากำลังการผลิตในอ่าวไทย ได้แก่แหล่งบงกชและเอราวัณ ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ควรเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการ ดังนี้
3.1 พิจารณาให้กลุ่มปิโตรเคมีใช้ก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซในราคาก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้าโดยรวม (Pool gas)
3.2 เร่งกำหนดนโยบายสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน ครัวเรือน และ SME แบบเน็ตมิเตอร์ริง (net metering) โดยเร็วเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าด้วยการพึ่งพาตนเอง และช่วยลดค่าไฟฟ้าส่วนรวมจากการลดการนำเข้า LNG ที่มีต้นทุนสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น
3.3 เร่งดำเนินการนโยบายเปิดเสรีการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาแบบระบบเน็ตบิลลิ่ง (Net Billing) สำหรับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ และภาคอุตสาหกรรม โดยไม่กำหนดโควตากำลังการผลิตและระยะเวลาการรับซื้อ
3.4 สั่งการให้ กฟผ. เร่งเจรจาสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) ที่ได้ทำกับเอกชนทุกรายก่อนหน้านี้ เพื่อปรับโครงสร้างค่าความพร้อมจ่าย โดยให้ลดค่าความพร้อมจ่ายลงสำหรับโรงไฟฟ้าที่อายุใกล้ครบสัญญา และยืดการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายออกไปสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่
“เราคาดหวังว่าจะได้เห็นค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่ำกว่า 4 บาทอีกครั้ง” น.ส.รสนา กล่าว