ส.ป.ก.แถลงการณ์ด่วน ยันแนวเขตพื้นที่พิพาทบริเวณบ้านเหวปลากั้ง ต.หมูสี อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2567 สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ออกแถลงการณ์ด่วน เรื่อง กรณีพิพาท ระหว่างแนวเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมากับแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยระบุว่า...
ตามที่ได้ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พีชได้เข้าทําการรื้อถอนหมุดหลักฐานซึ่งเจ้าหน้าที่ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายยว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในท้องที่หมู่10 บ้านเหวปลากั้ง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อันอาจก่อให้เกิดเป็นประเด็นพิพาทในระหว่างส่วนราชการด้วยกัน นั้น
ส.ป.ก. ขอออกแถลงการณ์ยืนยันว่า
1. ที่ดินในบริเวณพิพาทเป็นที่ดินที่ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามมาตรา 26 (3) และมาตรา 36 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 และพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูงเฉิน และอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นเขตปฏิรูป ที่ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งกรมแผนที่ทหารได้ตรวจสอบข้อมูล Field book ซึ่งเป็นการบันทึกการรังวัดขอบเขตของกรมอุทยานฯ เอง ตามมาตรฐานแผนที่และการรังวัดสากลแล้ว ยืนยันพื้นที่ข้อพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานฯ แต่ประการใด
2. ที่ดินในบริเวณพิพาทตามข้อ 1 นั้น ส.ป.ก. ได้รับมาจากการนำที่ดินที่จำแนกออกจากป่าเขาใหญ่เฉพาะพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่าสงวน (พื้นที่ อยู่นอกเขตอุทยานแห่งขาติเขาใหญ่ตามพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2505) เนื้อที่ประมาณ 33,896 ไร่ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 3 มีนาคม 2530 มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ครั้งที่ 6/2527 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2527 ที่มีกรมป่าไม้ (ผู้รับผิดชอบงานอุทยานแห่งชาติในขณะนั้น) และส.ป.ก. ร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งได้สำรวจเป็นที่ยุติแล้วว่า พื้นทีที่ส่งมอบให้ ส.ป.ก. ข้างต้นมีสภาพการใช้ประโยชน์โดยการประกอบเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่กว่า 86.25%
3. ส.ป.ก. จึงมีอํานาจหน้าที่นําที่ดินเนื้อที่ประมาณ 33,896 ไร่ ที่ได้รับมอบมาข้างต้น (รวมถึงที่ดินบริเวณพิพาท) มาจัดให้แก่เกษตรกรตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการทับซ้อนของแผนที่แสดงแนวเขตในบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แต่ประการใด
4. อย่างไรก็ดี ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐตามโครงการ One Map เพื่อให้ที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้รับมาในบริเวณพิพาทไป อยู่ในแนวเขตอุทยานแห่งชาตินั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดําเนินการปรับปรุงกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ และช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้สุจริตซึ่งเสียสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจากผลกระทบดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนจากการดําเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ จํานวน 10 ข้อ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติต่อไป
5. สําหรับแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นั้น ส.ป.ก. ยังคงยึดมั่นในหลักการว่า หากปรากฏข้อเท็จจริงใด ๆ ว่า มีเจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. ได้ดําเนินการรังวัดจัดที่ดิน ในพื้นที่ที่ยังมีสภาพป่า ย่อมเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยระเบียบและข้อตกลงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ ส.ป.ก.ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตลอดจน
ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายด้วยแล้วและหากพบว่าเจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. ผู้ใดได้กระทําความผิดหรือ มีการจัดที่ดินโดยฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งกฎหมายหรือกระทําการใด ๆ ที่ไม่ถูกต้องอันก่อให้เกิดความเสียหายกับการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ส.ป.ก. จะตดำเนินการ ตามกฎหมายทั้งทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญา กับผู้เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด และในทางกลับกัน หากตรวจสอบแล้วพบว่า ส.ป.ก.ได้ดำเนินการจัดที่ดินที่ชอบด้วยระเบียบและ กฎหมาย ก็เป็นกรณีสมควรที่เกษตรกรจะต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิกฎหมายและมีความชอบธรรมในการถือครองที่ดินของ ส.ป.ก. ต่อไป โดยไม่ควรที่จะมีหน่วยงานใดก็ตาม รบกวนหรือรอนสิทธิของประชาชนเหล่านี้
อนึ่ง ส.ป.ก. จะยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรในเขตปฏิรปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมให้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายทุกประการ และจะดําเนินการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. ที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อพิสูจน์ทราบ และหากพบการกระทําความผิด จะดําเนินการตามกฎหมาย โดยเคร่งครัดต่อไป