กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย 'ณุศาศิริ' ร้อง 'บก.ปอศ.' สอบ 5 ธุรกรรมบริษัทฯ ส่อทำให้ผู้ถือหุ้นฯกว่าหมื่นรายเสียหาย 700 ล้าน เผยถือหุ้นมากว่า 1 ปี ไม่เคยได้รับผลตอบแทน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองขัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายเสรี หัตถะรัชต์ ผู้ถือหุ้นรายย่อย บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA พร้อมผู้ถือหุ้นรายย่อยคนอีกกว่า 20 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิงสุมารินทร์ กองพา สารวัตร (สอบสวน) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบ การดำเนินการ 5 ธุรกรรมของบริษัท ที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย เกือบ 1 หมื่นราย ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินกว่า 700 ล้านบาท
นายเสรี กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายย่อยบริษัทดังกล่าวมานานกว่า 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับผลตอบแทนเลยสักครั้ง และเพิ่งทราบเรื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ก.ล.ต. ได้มีจดหมายให้ทางผู้บริหารบริษัทชี้แจงปัญหาในการส่งค่าตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย ขณะเดียวกัน ผู้ตรวจสอบบัญชีได้มีการตั้งข้อสงสัยในงบบัญชีอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะเกิดการทุจริต
“ผมและผู้เสียหายคนอื่นยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทเลยสักครั้ง เพราะคิดว่าพูดคุยไปก็เท่านั้น เลยเลือกที่จะมาแจ้งความกับตำรวจดีกว่า และที่ผ่านมาเคยไปร้องเรียนกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มาแล้ว เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากกว่า 10,000 คน แต่ทาง DSI ได้ให้คำแนะนำว่าให้มาแจ้งความกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน” ผู้เสียหายกล่าว
นายเสรี ระบุว่า สำหรับ 5 ธุรกรรมฯที่เข้าข่ายต้องข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีการทุจริต ประกอบด้วย 1.โครงการรับซื้อคืนอสังหาริมทรัพย์จากนักลงทุน เริ่มลงทุนปี 2558 สัญญาให้ผลตอบแทนปีละ 6.5% และบริษัทฯ จะรับซื้อคืนตั้งแต่ปีที่ 6 หรือปี 2564 แต่จนถึงปัจจุบันมีผู้ลงทุนหลายราย ไม่ได้รับผลตอบแทน และไม่ได้รับซื้อคืนตามที่สัญญาไว้
2.โครงการเข้าซื้อบริษัท พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ PNCT ต่อมาพบว่า บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งโดยผู้บริหารระดับสูงของ NUSA เอง หลังก่อตั้งได้โอนหุ้นไปยังบุคคลอื่นอีกหลายทอด ก่อนที่ NUSA จะกลับเข้ามาซื้อหุ้นในท้ายที่สุดในมูลค่ารวม 720 ล้านบาท
3.โครงการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในประเทศเยอรมนี โดยจ่ายเงินมัดจำไป 711 ล้านบาท หรือเกือบเต็มจำนวนของเงินซื้อขาย 740 ล้านบาท แต่พบว่าผู้รับเงินกลับเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ขายโดยตรง ซึ่งปัจจุบันโรงแรมดังกล่าวยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ
4.คณะกรรมการ NUSA เห็นชอบแผนจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทฯ 6 รายการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 70% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม จนถูกกลุ่มกรรมการที่คัดค้านแผนดังกล่าว ฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง ให้มีคำสั่งยกเลิกมติดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.6065/2566
และ 5.ในปี 2564 NUSA ขายหุ้นบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ให้กับบริษัท จีโอบีเอ บอร์ด จำกัด โดยมีนายอุดม หวัง เป็นผู้ลงนามฝ่ายผู้ซื้อ ซึ่งนายอุดม ปรากฏชื่อในสื่อว่าเป็นกรรมการในบริษัทอื่นที่ถูก DSI เข้าตรวจสอบ คดีคนต่างด้าวสวมสิทธิ์สัญชาติไทย
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้องก่อนประมวลเรื่องส่งต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป