สภาผู้บริโภค เสนอ ครม. ลดภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตรเป็นการชั่วคราว หวังลดภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมัน พร้อมจี้ไล่บี้สินค้าให้ลดราคาตามน้ำมันด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากการที่กระทรวงการคลังได้นำเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ซึ่งมีรายละเอียดเรื่องการดำเนินมาตรการทางภาษี โดยการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน โดยปรับอัตราภาษีสรรพสามิตลดลงประมาณ 2.50 บาทต่อลิตร ตามชนิดของน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 รวมระยะเวลา 103 วัน หรือ 3 เดือน 11 วัน และ ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาผู้บริโภค ระบุว่า มติ ครม. ดังกล่าวทำให้อัตราภาษีของน้ำมันดีเซล B7 ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซลที่ใช้กับภาคขนส่งลดลงมาอยู่ที่ลิตรละ 3.67 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราลิตรละ 5.99 บาท และเมื่อลองนำภาษีน้ำมันที่ปรับลดลง ไปคำนวณในโครงสร้างราคาดีเซล ณ วันที่ 14 กันยายน 2566 พบว่าการเก็บภาษีน้ำมันลิตรละ 3.67 บาท จะทำให้ราคาดีเซลขายปลีกที่หน้าสถานีบริการอยู่ที่ราคา 29.21 บาทต่อลิตร โดยที่ยังต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันจ่ายชดเชยอยู่ 6.97 บาทต่อลิตร
อิฐบูรณ์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ จากข้อมูลวันที่ 10 กันยายน 2566 กองทุนน้ำมันยังมีสถานะติดลบถึง 59,085 ล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมเงินมากถึง 55,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ใช้น้ำมันจะต้องร่วมกันชดใช้หนี้ก้อนดังกล่าวต่อไป สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณาลดการเก็บภาษีน้ำมันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเสนอให้เก็บภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตรเป็นการชั่วคราว เพื่อลดการใช้เงินกองทุนน้ำมันในการชดเชยราคาดีเซลลงครึ่งหนึ่ง เพื่อจะเป็นการลดภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมันที่มีมากถึง 55,000 ล้านบาทในขณะนี้
“ขอเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในสังกัดพรรคเพื่อไทย เร่งดำเนินการตรวจสอบต้นทุนของภาคขนส่ง ภาคสินค้าบริการต่าง ๆ โดยเร็วหลังจากที่ได้มีการปรับลดราคาดีเซลลงจาก 32 เหลือไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรหรือลดลงร้อยละ 6.25 เพื่อให้สินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชนควรมีราคาลดลงตามไปด้วยเช่นกัน” อิฐบูรณ์กล่าวทิ้งท้าย