สธ.เผยสถานการณ์โควิดไทยลดลงต่อเนื่อง กทม.มียอดตายสูงสุด ผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเสี่ยง สูงอายุ-มีโรคประจำตัว เร่งเดินหน้าฉีดวัคซีน ย้ำใส่หน้ากาก หากป่วยมีอาการทางเดินหายใจ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยสัปดาห์ที่ผ่านลดลงอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 556 ราย เฉลี่ยวันละ 79 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 178 ราย และผู้เสียชีวิต 8 ราย เฉลี่ยวันละ 1 ราย
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้เสียชีวิตทั้งหมดยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง ที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตสะสมของปี 2566 จำนวน 749 ราย พบว่า ปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อคือ อยู่ในชุมชนแออัด และการได้รับเชื้อจากคนในครอบครัว จึงยังต้องเดินหน้ารณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต่อไป โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งพบผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดถึง 116 ราย
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า กรมควบคุมโรคได้คาดการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการที่มีผู้ติดเชื้อลดลงและมีผู้ได้รับวัคซีนเข็มล่าสุดเกิน 6 เดือนเพิ่มขึ้น โดยเทียบเคียงกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ว่าจะพบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งประมาณการจำนวนยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อเตรียมการจัดหาได้ทันท่วงทีหากพบสัญญานเตือนของการแพร่ระบาด
นอกจากนี้ ได้ให้กรมควบคุมโรคประสานผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด แจ้ง อสม. ย้ำเตือนประชาชนให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการป่วยโรคทางเดินหายใจ, อยู่ใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง 608 และเด็กเล็ก และอยู่ในพื้นที่หรือกิจกรรมเสี่ยง เพื่อลดการรับและแพร่เชื้อในครอบครัวและชุมชน