สธ.เผยเด็กเกิดใหม่ยังมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง คาดปี 2566 ลดลงต่ำกว่า 5 แสนคน เสนอให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนหลักในการเพิ่มจำนวนการเกิดที่มีคุณภาพ รณรงค์ให้ครอบครัวที่มีความพร้อม มีบุตรครอบครัวละไม่น้อยกว่า 2 คน ย้ำการมีบุตรต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ มีการวางแผน และมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2566 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 11 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันประชากรโลก (World Population Day) ซึ่งคณะมนตรีประศาสน์การของสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาได้กำหนดขึ้น ตั้งแต่ปี 2532 เพื่อให้ทั่วโลกตระหนักถึงประเด็นปัญหาของประชากรโลก ซึ่งในปี 2566 ประเทศไทยประสบปัญหาจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมในปี 2506-2526 มีเด็กเกิดใหม่ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคน ลดลงเหลือ 502,107 คน ในปี 2565 และอาจจะต่ำกว่า 500,000 คน ในปี 2566 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลีใต้ และอีกกว่า 120 ประเทศ ขณะที่จำนวนการเกิดลดลงจำนวนผู้สูงอายุก็เพิ่มขึ้น โดยในปี 2564 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ มีประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20 และในปี 2579 จะเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด คือ มีประชากรที่อายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 30 ทำให้ในปี 2566 เป็นปีแรกที่จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน อายุ 20-24 ปี ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากร ที่ออกจากวัยแรงงาน อายุ 60-64 ปีได้
“จากประเด็นปัญหาดังกล่าว กรมอนามัย จึงได้ร่วมกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 ฯ ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 มาอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่า จำนวนการเกิดยังไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ ในระยะครึ่งแผนหลัง กรมอนามัย และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงได้เสนอมาตรการทางเลือกในการแก้ไขปัญหา อาทิ การส่งเสริมการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุต่ำกว่า 2 ปี การเพิ่มสิทธิการลาในการเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ มาตรการ work from home การยืดหยุ่นเวลางาน การลาคลอดได้ 6 เดือนโดยได้รับค่าจ้าง สิทธิการรักษาและสิทธิการลาเพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก การใช้ AI เข้ามาทดแทนการใช้มนุษย์ในสาขาที่มีความขาดแคลน การเลื่อนการเกษียณอายุให้สูงขึ้น การส่งเสริมการออมสำหรับการเกษียณ และการส่งเสริมการสร้างอาชีพรอง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
ทางด้าน ดร.นพ.บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กล่าวเสริมว่า การเพิ่มจำนวน การเกิดนี้ อาจต้องมองในหลายมิติเพิ่มเติม การเพิ่มจำนวนการเกิดจากผู้ที่มีความพร้อมหรือจากคนไทยเพียงอย่างเดียว อาจไม่ทันต่อการรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะกระทบต่อ GDP และความมั่นคงของประเทศในภาพรวม การให้ความสำคัญกับทุกการเกิดในประเทศ หรือการนำเข้าแรงงานที่มีศักยภาพสูงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่รับมือกับปัญหาได้เร็วกว่า และไม่ว่าจะเลือกมาตรการใดเป็นมาตรการหลัก “รัฐบาล” ควรเป็นผู้ลงทุน เพื่อให้เกิดความครอบคลุม เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่ผ่านมา กรมอนามัย ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ชีวิตคู่และการมีบุตร เพื่อพัฒนาศักยภาพคนโสดรุ่นใหม่ ให้มีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้ชีวิตคู่และการมีบุตร ตลอดจนร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ตรงกับความต้องการของประชาชน โดยข้อเสนอดังกล่าวได้นำมากำหนดเป็นมาตรการทางเลือกให้กับรัฐบาลต่อไป