สปสช. เผย ปี 2560-2566 มีคนใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ 587,960 ครั้ง ร้องเรียน 7,522 เรื่อง ส่วนใหญ่ถูก รพ.เก็บค่ารักษา ด้านสภาผู้บริโภคประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2566 สภาผู้บริโภคร่วมกับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ ผู้วิจัยโครงการติดตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) จัดแถลงข่าว 'เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ ไม่ต้องสำรองจ่าย' เพื่อเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายนี้ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมสะท้อนปัญหาและอุปสรรคที่นำไปสู่การพัฒนา ดูแลประชาชนให้เข้าถึงการรักษาในภาวะฉุกเฉินวิกฤติ
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP ถูกประกาศใช้ในปี 2560 และต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายรัฐที่จับต้องได้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันท่วงที จนพ้นวิกฤติและเคลื่อนย้ายได้ แต่ไม่เกิน 72 ชม. ไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรค ลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน แต่ก็มีจุดที่ต้องแก้ปัญหา เพราะยังมีกรณีการประเมินอาการผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์ ถูกเรียกเก็บเงินก่อนการรักษา และไม่สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ รวมถึงกรณีถูกเรียกเก็บเงินในช่วงรักษา 72 ชม.
ข้อมูล 'สภาผู้บริโภค' ตั้งแต่ กรกฎาคม 2564 - 30 มีนาคม 2566 การร้องเรียนด้านบริการสุขภาพ พบว่า ปัญหาสิทธิ UCEP มีจำนวนสูงเป็นอันดับ 3 หรือ 232 เรื่องจาก 1,979 เรื่อง หรือร้อยละ 11.72 แยกเป็นกรณี
1. ได้รับความเสียจากการรักษาพยาบาล 56 เรื่อง
2. ถูกเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิฉุกเฉิน 53 เรื่อง
3. ไม่ได้รับบริการ 42 เรื่อง
4. ไม่ได้รับความสะดวกตามสมควร 39 เรื่อง
5. ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานบริการสาธารณสุข 35 เรื่อง
6. ค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริง 4 เรื่อง
7. ไม่สามารถส่งต่อ 3 เรื่อง ซึ่งได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมแก้ไขปัญหา พร้อมจัดทำข้อเสนอแก้ไขไปยัง สพฉ. กระทรวงสาธารณสุข ให้กำกับโรงพยาบาลปฏิบัติตามนโยบาย และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคาเรียกเก็บค่ารักษาในกรณีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ UCEP
ที่ผ่านมาสภาองค์กรของผู้บริโภค ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา โดยได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ในการควบคุมการบริการของสถานพยาบาลเอกชนให้เป็นไปตามนโยบายและหลักเกณฑ์บริการต่างๆ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในฐานะกองทุนรักษาพยาบาลที่ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ดังนี้
ข้อเสนอต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
1) ขอให้ทบทวนเกณฑ์ประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน (PA) ในสิทธิ UCEP โดยให้มีแนวทางการพิจารณา ดังนี้
1.1) แนวทางสิทธิ UCEP Plus ที่ครอบคลุมให้กลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีเหลือง) สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใดก็ได้จนกว่าจะหายป่วย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
1.2) ให้นำข้อคิดเห็นของผู้ป่วยและญาติ เป็นหนึ่งในเกณฑ์ประเมินการคัดแยกระดับความฉุกเฉินเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีเพียงข้อคิดเห็นทางการแพทย์แต่เพียงฝ่ายเดียว ในการประเมินหลักการดังกล่าว
2) ขอให้กำหนดการคิดอัตราค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ UCEP กรณีที่ไม่สามารถส่งต่อผู้ป่วยหลังพ้นภาวะฉุกเฉินวิกฤต 72 ชั่วโมงไปยังการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลตามสิทธิได้ อันเนื่องจากข้อจำกัดของระบบ และความไม่เพียงพอของโรงพยาบาลจนกว่าจะหาเตียงได้
ข้อเสนอต่อกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
1) ขอให้กำกับสถานพยาบาลเอกชนทุกแห่ง ให้ใช้ระบบบันทึกการประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉินของผู้ป่วย (Emergency Pre - Authorization : PA) ซึ่งเป็นระบบบันทึกของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หากไม่มีการประเมินให้ถือว่าเข้าข่ายวิกฤตฉุกเฉินทุกราย
2) ขอให้กำกับการเรียกเก็บเงินการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชน กรณีผู้ป่วยเข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ (สีแดง) สถานพยาบาลต้องให้การรักษาพยาบาลอย่างเต็มความสามารถ โดยห้ามเรียกเก็บค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชั่วโมงแรก
3) ขอให้ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการของสถานพยาบาลเอกชนทุกแห่งทุก 2 ปี ว่ามีมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินเป็นไปตามนโยบายสิทธิ UCEP ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ และรายงานผลตรวจสอบให้สาธารณะทราบ
4) ขอให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางการร้องเรียนแก่ผู้ป่วย กรณีโรงพยาบาลเอกชนไม่ประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน และประเมินเข้าเกณฑ์ถูกเรียกเก็บเงิน
ข้อเสนอต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
1) ขอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ออกมาตรการกำกับโรงพยาบาลเอกชนให้ใช้อัตราค่ารักษาพยาบาลในอัตราเดียวกันระหว่างค่ารักษาพยาบาลในกรณีวิกฤตสีเหลือง เช่นเดียวกับวิกฤตฉุกเฉินสีแดง เนื่องจากเมื่อเกิดวิกฤตฉุกเฉินด้านสุขภาพ เป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคที่จะวินิจฉัยตนเองว่า เป็นวิกฤตสีแดงหรือสีเหลืองเมื่อไปใช้บริการในโรงพยาบาล ย่อมเข้าใจว่าอาการเจ็บป่วยของตนเป็นวิกฤตสุขภาพสีแดง ตามการศึกษาของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบข้อมูลว่า เมื่อโรงพยาบาลตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่เข้าข่ายวิกฤตสีแดงจะถูกเรียกเก็บเงิน ซึ่งมีค่าบริการแพง ดังนั้น เพื่อลดข้อร้องเรียนเรื่องค่าบริการทางการแพทย์ราคาแพง ลดความขัดแย้ง และเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้บริโภค คณะกรรมการฯ ควรมีมาตรการกำกับค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บกับผู้ใช้บริการในกรณีฉุกเฉินวิกฤตสีเหลือง
2) ขอให้มีมาตรการกำกับค่ารักษาพยาบาลภายหลัง 72 ชั่วโมง กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถโอนย้ายไปยังหน่วยบริการของตนเองที่ขึ้นทะเบียนไว้ หรือหน่วยบริการคู่สัญญาได้ หรือหน่วยบริการของรัฐ ภายหลัง 72 ชั่วโมงได้ โดยให้เป็นอัตราเดียวกับค่าบริการในช่วงระยะเวลา 72 ชั่วโมง
3) ขอให้กรมการค้าภายใน รายงานข้อร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาราคาค่ารักษาพยาบาล หรือข้อร้องเรียนเกี่ยวกับยา ผลิตภัณฑ์ หรือวัสดุทางการแพทย์ เป็นประจำทุกเดือน และรายงานผลการวินิจฉัยของสำนักงานฯ ต่อสาธารณะด้วย
นางสาวสารี กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่สภาผู้บริโภค ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ต้องได้รับสิทธิในการเข้ารักษาพยาบาลเพื่อช่วยเหลือชีวิต ในช่วงระยะเวลา 72 ชม. จากสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชน โดยต้องขอความร่วมมืออีกครั้งจากโรงพยาบาลเอกชนในการดูแลประชาชน ซึ่งขอให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์การให้บริการของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พร้อมกันนี้ก็ขอชื่นชมไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ได้ร่วมให้บริการตามหลักเกณฑ์ ที่แม้การดำเนินงานของโรงพยาบาลจะอยู่บนผลกำไรและขาดทุน แต่มีจริยธรรมทางการแพทย์ที่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยด้วย
สุดท้ายนี้สภาผู้บริโภคคงยังต้องติดตาม และผลักดันการแก้ไขปัญหาให้บรรลุเป้าหมายของนโยบาย 'เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่' นี้ต่อไป
ด้าน ดร.ภญ.ศีลจิต อินทรพงษ์ รองโฆษกสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ. ได้จัดตั้ง 'ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉิน' (ศคส.) ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และ รพ. เอกชนกรณีที่มีปัญหาคัดแยกอาการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยใช้โปรแกรม Emergency Pre-authorization (PA) เพื่อคัดแยกตามกลุ่มอาการ โดยสถานพยาบาลจะทำการกรองข้อมูลอาการ สัญญาณชีพลงในโปรแกรม ซึ่งจะประเมินว่าเข้าเงื่อนไขสิทธิ UCEP หรือไม่ อาทิ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หาจใจมีเสียติดขัด ซึมลง เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชักต่อเนื่องไม่หยุด เป็นต้น ทั้งนี้จะมีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่ปรึกษา ศคส.สพฉ. ให้คำปรึกษาคัดกรองอาการอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนพ้นวิกฤติฉุกเฉิน แต่ไม่เกิน 72 ชม. ไม่เสียค่าใช้จ่าย
“ถึงวันนี้ราว 6 ปีแล้ว สพฉ.ได้ทำงานร่วมกับ 3 กองทุน ซึ่งมี สปสช. ทำหน้าที่ Clearing House มีการกำหนดอัตราค่าบริการร่วมทั้ง 3 กองทุน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวจ้องทำหน้าที่ Regulator ด้านกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ป่วยรายใดประสงค์ยื่นอุทรณ์ หรือร้องเรียนการรักษา UCEP ติดต่อสอบถาม ศคส.สพฉ. หมายเลข 02-872-1669” รองโฆษก สพฉ. กล่าว
ส่วน ดวงนภา พิเชษฐ์กุล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ข้อมูล สปสช. จากปี 2560 ที่ UCEP เริ่มต้น มีประชาชนรับบริการ 3,896 ครั้ง ปี 2561 เพิ่มเป็น 12,919 ครั้ง ปี 2564 เพิ่มเป็น 18,547 ครั้ง โดยปี 2566 ข้อมูล ต.ค. 65 - มิ.ย. 66 มีประชาชนรับบริการ UCEP แล้ว 16,976 ครั้ง แต่ในปี 2565 เป็นที่น่าสังกตุว่า จำนวนของการรับบริการ UCEP ได้เพิ่มสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว 499,876 ครั้ง เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสรุปในช่วง 6 ปี มีประชาชนรับบริการ UCEP ทั้งหมด 587,960 ครั้ง
ขณะที่การร้องเรียนมายังสายด่วน สปสช. 1330 พบว่าตลอด 6 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 7,522 เรื่อง โดย 2560 มี 47 เรื่อง และปี 2561-2563 ลดลงอยู่ที่ 21 เรื่อง, 7 เรื่อง และ 6 เรื่อง (ตามลำดับ) แต่ปี 2564 การร้องเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3,791 เรื่อง และปี 2565 อยู่ที่ 3,257 เรื่อง แต่ปี 2566 (ต.ค. 65 - มิ.ย. 66) ลดลงอยู่ที่ 393 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) มากที่สุด 4,811 เรื่อง รองลงมาสิทธิประกันสังคม 1,904 เรื่อง และสิทธิข้าราชการ 481 เรื่อง และสิทธิบุคคลต่างด้าว 145 เรื่อง นอกนั้นเป็นผู้มีสิทธิอื่น การร้องเรียนมี 2 ประเด็นใหญ่ คือกรณี รพ.เรียกเก็บเงินโดยตรง ไม่เบิกจ่ายจาก สปสช. 5,144 เรื่อง และกรณี รพ.เบิกจ่ายจาก สปสช. พร้อมกับแจ้งให้ประชาชนร่วมจ่าย 2,378 เรื่อง
“หลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว เบื้องต้นจะประสานข้อมูลกับ รพ.ที่เรียกเก็บก่อนเพื่อขอข้อมูลพร้อมชี้แจงหลักเกณฑ์ ทำความเข้าใจกับ รพ. ซึ่งบางครั้งอาจไม่เข้าใจสิทธิและเบิกจ่าย ขณะเดียวกันก็ส่งคำร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป” ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ขณะที่ ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล อดีตอาจารย์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะผู้วิจัยโครงการติดตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) กล่าวว่า จากนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน (Emergency Claim Online : EMCO) ที่เริ่มในปี 2555 สู่นโยบาย UCEP ที่ได้ปรับอัตราการเบิกจ่ายมากขึ้น รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ที่รักษาเฉพาะผู้ป่วยเกณฑ์สีแดงที่มีจำนวนน้อย ไม่รวมผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียว ทั้งจำกัดเวลาดูแล 72 ชม. ทำให้ รพเอกชน Happy มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อดูข้อมูลร้องเรียนพบว่า กรณีการถูกเรียกเก็บเงินและปฏิเสธการรักษา โดยเฉพาะใน รพ. Hi-end ก็ยังมีอยู่ ขณะที่จำนวนการร้องเรียนที่ สพฉ. ระบุเหลือเพียงแค่ 5% มองว่าอาจเป็นการพูดเกินจริงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงนโยบาย EMCO ที่มีการร้องเรียนจำนวนมาก ประกอบกับในภาวะที่ผู้ป่วยเชื่อว่าตัวเองอยู่ในเกณฑ์สีแดง แต่ รพ.ระบุเป็นอาการสีเหลือง ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็มนี้ ทำให้ญาติตัดสินใจจ่ายเงินรักษาเองที่เป็นการปิดโอกาสที่จะร้องเรียนด้วย
ในมุมนักวิชาการ คนไข้สีเหลืองมีโอกาสกลายเป็นสีแดงจากการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ หรือในจังหวะการประเมินที่อาการยังไม่ถึงสีแดง อีกทั้งการจำกัดเวลา 72 ชม. ก็เป็นช่องโหว่ในแง่ความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเทียบกับนโยบาย EMCO ที่ดูแลจนกว่าผู้ป่วยออกจาก รพ. นอกจากนี้ยังมีประเด็นการนำส่งที่พบว่าแต่ละวันมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าถึงบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 ไม่ถึง 10% คำถามคือแล้วจะอุดช่องว่างเหล่านี้อย่างไร ซึ่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมาการที่ สพฉ. ทำได้เท่านี้ 1.อาจถูกจำกัดด้วยงบประมาณ 2.ถูกจำกัดในการสร้างแรงจูงใจ หรือหากลไกอื่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วมมือ รวมทั้งยังมีประเด็นการอบรมเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่ยังทำได้น้อยในแต่ละปี
ด้าน นพ.ณัฐวุฒิ เอี่ยงธนรัตน์ ตัวแทนคณะผู้วิจัยติดตามโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) กล่าวว่า ผลการศึกษานโยบาย UCEP หากมองความสำเร็จเชิงนามธรรมขับเคลื่อนมี 3 เรื่อง คือ 1. ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วย ลดความเหลื่อมล้ำทุกสิทธิในการเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 2. หลักเกณฑ์คัดแยกผู้ป่วย รพ.เอกชนยอมรับได้ มีความชัดเจนของอาการฉุกเฉินวิกฤต
3. วิธีการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการแบบเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสิทธิการรักษาใด ส่งผลให้คุณภาพการรักษาเท่าเทียมกัน อัตราการเสียชีวิตในแต่ละสิทธิการรักษาไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดีความสำเร็จ 3 ข้อนี้เป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในเชิงนามธรรม แต่ถ้ามองความสำเร็จในเชิงรูปธรรมโดยยึดคำว่าเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ จากการศึกษาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่าผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินตรงตามระดับความเร่งด่วนของการรักษาพยาบาลตามที่โฆษณาไว้
ส่วนปัญหาการดำเนินนโยบายพบใน 4 ประเด็น ที่เป็นเชิงคุณภาพการรักษา คือ 1. ความแตกต่างของคุณภาพบริการในแต่ละภูมิภาค 2. มีช่องว่างในกระบวนการดูแลก่อนถึง รพ. 3.ผู้ป่วย 20 - 30% ยังถูก รพ.เอกชนเรียกเก็บเงินมัดจำก่อนให้บริการ และ 4. ผู้ให้บริการยังมีปัญหาบันทึกข้อมูล pre-authorization ไม่ครบถ้วน นอกจากนี้การจำกัดเวลา UCEP ที่ 72 ชม. ยังไม่สอดคล้องกับอาการผู้ป่วยแต่ละรายด้วย
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอเพื่อการพัฒนา คือให้ขยายนโยบาย UCEP ไปสู่ รพ.รัฐทั่วประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ป่วยวิกฤตทุกคนจะเข้าถึงการรักษาอย่างทันการณ์ มีคุณภาพและทั่วถึง และแก้ไขกฎระเบียบด้านการเงินให้ยืดหยุ่นใกล้เคียง รพ.เอกชน รวมทั้งส่งเสริมองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้มีบทบาทพัฒนาเครือข่ายบริการกู้ชีพร่วมกับ รพ. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อลดความแตกต่างของบริการกู้ชีพระหว่างภูมิภาค
ปิดท้ายที่ นายพงษ์ชัย มณีโชติ บุตรชายของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติรายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2565 บิดาเส้นเลือดในสมองแตก นำส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่งเวลา 17.30 น. แพทย์ประเมินเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติและให้การรักษา ต่อมาเวลา 19.44 น. แพทย์แจ้งว่าพ้นภาวะวิกฤติแล้ว จากนั้น รพ.ได้ให้น้องสาวเซ็นตนหนังสือรับทราบสิทธินโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ด้วยที่น้องสาวไม่ทราบรายละเอียดหลักเกณฑ์และต้องการให้บิดารักษาต่อเนื่อง จึงเซ็นว่าไม่ประสงค์ย้ายไปรักษาต่อที่ รพ.ตามสิทธิ วันต่อมาตนได้เข้าแจ้งขอย้ายไปรักษาที่ รพ.ตามสิทธิ เมื่อครบ 72 ชม. ปรากฎว่า รพ. ได้เรียกเก็บเงิน 95,000 บาท โดยให้เหตุผลว่า แพทย์วินิจฉัยว่าพ้นวิกฤติแล้วตั้งแต่ 19.44 น. และญาติผู้ป่วยไม่ประสงค์ส่งต่อ รพ.จึงเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 19.44 น. ของวันที่ 7 ก.ค. 2565 ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565
“เราเข้าใจว่าภายใน 72 ชม. สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ จึงร้องเรียนไปที่ สพฉ. วันที่ 11 ก.ค. 2565 และได้หนังสือตอบกลับ ก.พ. 2566 ระบุว่า รพ.แจ้งเหตุผลเหมือนข้างต้นคือผู้ป่วยพ้นวิกฤตแล้วญาติไม่ประสงค์ให้ส่งต่อ ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มีการคืนเงินแต่อย่างใด ตรงนี้ถือเป็นช่องว่าง เพราะเราเข้าใจว่าใน 72 ชม. สามารถใช้สิทธิรักษาฉุกเฉินวิกฤติได้ เพื่อให้ผู้ป่วยรักษาต่อเนื่องก่อน ดังนั้นจึงควรมีการชี้แจงให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดปัญหาการใช้สิทธิ” นายพงษ์ชัย กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่
1.สายด่วน สปสช. 1330
2.ช่องทางออนไลน์
- ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
- Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
- ไลน์ Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิกที่ลิงก์ https://lin.ee/nwxfnHw
3. สภาองค์กรของผู้บริโภค
- ไลน์ออฟฟิเชียล (Line Official) : @tccthailand หรือคลิกลิงก์ https://lin.ee/uhDyO1U
- อินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก (Facebook Inbox) : สภาองค์กรของผู้บริโภค
- อีเมล : [email protected]
- โทรศัพท์ : 02 239 1839 กด 1, 081 134 9215 หรือ 081 134 9216