6 ภาคประชาสังคม ด้านธรุกิจ-สิ่งแวดล้อม-เสรีภาพ-ความยากจน-คนพิการ-เยาวชน ร้องพรรคการเมือง ออกแบบนโยบายต้องใส่ใจด้านสิทธิมนุษยชนด้วย หวังสร้างบรรยากาศใหม่ของประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 4 เมษายน 2566 ภาคประชาสังคมจัดงานแถลงข่าว “เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society's Agenda for the 2023 Thailand Election)” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะด้านสิทธิมนุษยชนหลากหลายประเด็น ครอบคลุมทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม แรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย คนพิการ เด็ก สตรี ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ต่อตัวแทนพรรคการเมืองและสาธารณชน
@ขอพรรคการเมืองทำนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน
นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่ทำวิจัยประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาหลายปี เห็นว่า การละเมิดสิทธิที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในหลายประเด็น โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทไทยเข้าไปลงทุนหรือรับซื้อผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านที่กลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอ่อนแอหรือไม่มีเลย ในยุคที่การเคารพสิทธิมนุษยชนกำลังกลายเป็น "จรรยาบรรณสากล" ในการประกอบธุรกิจ
ส่วนตัวจึงอยากให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เสนอนโยบายกำหนดความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจ เพิ่มความโปร่งใสซึ่งก็จะเพิ่มพลังของผู้บริโภคในการติดตามตรวจสอบธุรกิจ สร้างความเท่าเทียมในสนามแข่งขัน อีกทัั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้บริษัทไทยสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่มีแนวโน้มจะใส่ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามามากขึ้น เช่น ควรออกกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติ และออกกฎหมายบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านตามหลักการชี้แนะ UNGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ถ้ามีกฎหมายนี้ บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรก็ต้องตรวจสอบว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับการเผาแปลงปลูกไม่ว่าจะในที่ราบหรือบนดอยในห่วงโซ่อุปทานของตน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศ และชี้แจงว่าบริษัทมีมาตรการลดแรงจูงใจในการเผาของเกษตรกรอย่างไร เป็นต้น
@นโยบายสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นที่ สิทธิมนุษยชน
ด้านธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่าง ๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากไร้ซึ่งการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (right to a healthy environment) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น และสร้างความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กรีนพีซเชื่อว่า การเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิดและเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย
@ผู้แทนฯ ต้องใช้กลไกสภาคุ้มครองสิทธิของประชาชน
ขณะที่นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า สิทธิมนุษยชน คือ เรื่องของทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่อยู่ในประเทศไทย ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของก้าวต่อไปของประเทศไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการเคารพ ปกป้องคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิต่าง ๆ รวมทั้งปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือการทำงานของรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้แทนของประชาชนจะใช้กลไกในรัฐสภาอย่างไรให้เกิดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งถูกจำกัดอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่ให้คุณค่าประชาชน คือ พรรคที่พัฒนานโยบายเพื่อสังคมโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน แม้ว่าพวกคุณจะได้เป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือไม่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้เลยก็ตาม
@รัฐสวัสดิการ ต้องมี
นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เผยว่า ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในประเทศแห่งนี้ถูกกล่อมเกลาจากชนชั้นนำระบอบอำนาจนิยมและเสรีนิยมใหม่ ให้เชื่องเชื่อจนมันกลายเป็นสิ่งปกติ คนจน 4.4 ล้านคน รายได้ต่ำกว่า 2,803 บาทต่อเดือน ในขณะที่คนรวย 40 ตระกูล มีมูลค่าทรัพย์สิน 143,595 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 28.5 ของ GDP ที่ดินอยู่ในมือคนมั่งมีกว่า 6 แสนไร่ เท่ากับจังหวัดสมุทรปราการ แต่มีคนไร้ที่ดินคนไร้บ้านจำนวนมาก เด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.2 ล้านคน เด็กครอบครัวยากจนเข้าถึงมหาวิทยาลัยเพียง 11% ผู้สูงอายุและคนพิการได้รับเบี้ยยังชีพต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า
การเลือกตั้งปี 2566 ในครั้งนี้ จึงมีเดิมพันระหว่างสังคมไทยที่มีความหวังกับความสิ้นหวัง ประชาธิปไตยกับเผด็จการขวาจัด รัฐเผด็จการอำนาจนิยมกับรัฐสวัสดิการและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนกับอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อความมั่นคงกองทัพ โอกาสการศึกษาที่เท่าเทียมกับธุรกิจการศึกษาที่สร้างหนี้สิน การเข้าถึงสิทธิเสมอกันถ้วนหน้ากับระบบสงเคราะห์ตีตราคนจนแบ่งแยกเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการสร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยกับการคงอยู่ของระบบอำนาจนิยม
@อำนวยความสะดวกให้คนพิการเลือกตั้งง่าย
ด้านนายอธิพันธ์ ว่องไว หัวหน้าโครงการกาลพลิก มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า หน่วยเลือกตั้งต่างๆ ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถอำนวยให้คนพิการสามารถไปใช้สิทธิลงคะแนนได้จริง เช่น บางหน่วยสถานที่ไม่อำนวยในการช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ควรเน้นการออกแบบให้รองรับคนทุกรูปแบบ
คนพิการต่างตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศ และต้องการให้พรรคการเมืองต่าง ๆ มีนโยบายด้านการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ต้องมีกลไกสนับสนุนผู้ช่วยคนพิการ โดยนโยบายต่าง ๆ ต้องไม่มาจากทัศนคติด้านการสงเคราะห์ ควรเพิ่มค่าจ้างคนพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดผู้ช่วยคนพิการมากขึ้น ด้านกลไกผู้ดูแลคนพิการไม่ควรขึ้นอยู่กับ อสม. เพียงอย่างเดียว และต้องพัฒนากองทุนคนพิการให้ใช้งานตอบโจทย์คนพิการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญการเลือกตั้งต้องเคารพสิทธิและเสียงของคนพิการ
@รบ.ใหม่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เด็ก
นายนัสรี พุ่มเกื้อ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ เผยว่า ในตอนนี้สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมที่เยาวชนไร้ความหวัง เด็กเเละเยาวชนหลายคนถูกผลักออกจากระบบการศึกษา สถิติการเกิดขึ้นของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเเละเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำเด็กเเละเยาวชนในประเทศนี้ยังรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียง เเละการเเสดงออกทางการเมืองมักลงเอยด้วยการตอบโต้ที่ใช้ความรุนเเรงเเละการถูกดำเนินคดี
“ตอนนี้ความหวังของพวกเรานั้นริบหรี่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงเเค่การเลือกตั้งทั่วไป เเต่ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ หากเราชนะ เเละข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมสัมฤทธิ์ผล นี่จะเป็นตัวจุดชนวนความหวัง เเละ เป็นเชื้อไฟให้กับเด็กเเละเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เติบโตในสังคมไทย หากผู้นำประเทศคาดหวังที่จะให้เราเติบโตที่นี่ ต้องสร้างสภาพเเวดล้อมเเละสังคมที่ดีสำหรับการเติบโตของพวกเราด้วย” นายนัสรีกล่าว
ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมย้ำว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน และขอให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองทุกพรรคยึดมั่นในการพัฒนาสถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ตามที่ภาคประชาสังคมนำเสนอต่อพรรคการเมืองด้วย
ที่มาภาพ: Amnesty International Thailand